ทุกๆครั้งที่เกิดวิกฤติมักจะสร้างโอกาสใหม่ขึ้นเสมอ เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดของเชื้อ โคโรนาไวรัส (2019 Novel Coronavirus (n-CoV) ซึ่งเริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่นของจีน แล้วแพร่กระจายไปสู่เมืองต่างๆหลายภูมิภาคทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
แน่นอนว่าปัญหาใหญ่ขนาดนี้ กำลังทุบเศรษฐกิจในประเทศไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีการประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมาไทยจะหายไปเดือนละ 9 แสนคนทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้หายไปหลายหมื่นล้านบาทต่อเดือน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการเดินทางกระทบกระเทือนไปด้วย เช่น ธุรกิจการบิน การขนส่ง โรงแรม ร้านขายสินค้าที่ระลึก ขณะที่ธุรกิจห้างร้านขนาดใหญ่ที่เป็นที่รวมตัวของผู้คนจำนวนมาก รวมไปถึงการขนส่งมวลชนไม่ว่าจะเป็นรถสาธารณะ รถไฟฟ้า อาจจะมีผู้ใช้บริการลดลงเพราะไม่อยากเสี่ยงการติดเชื้อโรค
ส่วนธุรกิจบันเทิง คอนเสิร์ตกลางแจ้ง ตลาดนัด โรงเรียน และการแสดงสินค้าต่างๆ ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่เคยมีกรณีการยกเลิกคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ และกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงวันเด็กเมื่อเร็วๆ นี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า หากการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสขยายเวลาเป็นประมาณ 1-3 เดือน อาจกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจจีนเอง เพราะกำลังซื้อของประชาชนชาวจีนมีผลต่อบรรยากาศและความต้องการในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทย อาจลดลงเหลือ 10.94-10.77 ล้านคน หรือหดตัวประมาณ 0.5-2.0%
หากสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อโคโรนาไวรัสไม่สามารถสกัดได้ จะทำให้ผู้คนเลือกที่จะอยู่บ้านหรือทำงานที่บ้านกว่าออกไปข้างนอก เมื่อคนอยู่บ้านมากขึ้น นั่นคือโอกาสใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติ
อย่างแรก คือธุรกิจบริการส่งสินค้าตามบ้านและที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ชอปปิ้งออนไลน์ต่างๆ ธุรกิจเหล่านี้จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการด้วย โดยเฉพาะร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่งตามบ้านหรือ Home delivery และแอปพลิเคชั่นต่างๆ จะเห็นได้ว่าแม้เรากำลังเผชิญปัญหาวิกฤตินี้อยู่ แต่กลับพบว่ายอดขายสินค้าบางอย่างกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
อีกธุรกิจที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น คือ ธุรกิจเกี่ยวกับยา การรักษาโรค และสถานพยาบาลต่างๆ จากรายการของหน่วยงานเกี่ยวกับการสาธารณสุขระบุว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤติฝุ่น PM2.5 ตามด้วยโคโรนาไวรัสตัวใหม่ ทำให้คนต้องไปพบแพทย์และเกิดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหลายพันล้านบาท
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้างมือ น้ำยาล้างจาน ผลิตภัณฑ์ซักผ้าก็ขยายตัวไปด้วย รวมไปถึงหน้ากากอนามัยต่างๆ ร้านค้าสะดวกซื้อบางแห่งไม่มีสินค้าจำหน่วย
จากวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ย้อนกลับไปสนใจนักธุรกิจชื่อดังชาวจีนคนหนึ่งที่ชื่อว่าริชาร์ด หลิว หรือ Richard Liu Qiangdong ผู้ก่อตั้ง JD.com หรือ Jingdong Mall ปัจจุบันในผู้นำอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซชั้นนำในประเทศจีน
นายริชาร์ด หลิว คนนี้คือตัวอย่างคนที่สามารถฝ่าฟันวิกฤตเป็นโอกาสได้สำเร็จ ที่สำคัญคือเป็นสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันกับขณะนี้ กล่าวคือ เมื่อปี 2003 เกิดวิกฤติโรคซาร์ขึ้นในประเทศจีน มีคนเสียชีวิตจำนวนมากและธุรกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงาน ส่งผลให้ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของเขากระทบหนัก เพราะไม่มีลูกค้าไปเดิน แต่เขาพลิกกลยุทธ์โดยการขายสินค้าออนไลน์ แล้วส่งสินค้าที่อยู่ในสต๊อกตรงถึงลูกค้าที่อยู่บ้าน จนสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายในปีเดียว จากนั้นก็ประกาศเปิดตัวธุรกิจ JD.com ในปี 2004
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสเสมอ และยังได้เรียนรู้ว่าจะรับมือวิกฤติอย่างไร
แม้ขณะนี้จะยังไม้รู้ว่าจะเผชิญปัญหาเชื้อโรคอีกนานเท่าไหร่ ประเทศต่างๆจะสามารถสกัดกั้นวิกฤตินี้ได้เมื่อใด แต่ถึงเวลาแล้วที่คนไทยและสังคมไทย จะต้องเตรียมตัวรับมืออยู่ตลอดเวลา การรับมือปัญหาที่ดีที่สุดคือ คือ การเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ เริ่มจากการดูแลสุขภาพตัวเอง โดยออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิต้นทานให้ดี การใช้ช้อนกลาง การอาบน้ำหรือล้างมืออย่างถูกวิธี การเลี่ยงพฤติกรรมและสถานที่ที่มีความเสี่ยง เป็นต้น
Category: