Work from Home ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเหมือนกัน เมื่อที่บ้านไม่ได้มีสภาพแวดล้อมหรือความพร้อมไว้ให้ทำงานเหมือนที่ออฟฟิศ หลายคนอาจจะคิดว่าการทำงานที่บ้านอาจจะไม่ได้งานรึเปล่า ประสิทธิภาพในการทำงานจะไปดีเท่าทำที่ออฟฟิศได้ยังไง ไม่ต้องเป็นกังวลไป วันนี้เรามีเคล็ดลับ 7 วิธีในการทำงานที่บ้านให้มีประสิทธิภาพมาฝากกัน
ถ้าที่บ้านของคุณมีห้องทำงานอยู่แล้วก็ถือว่าโชคดีไป แต่สำหรับใครหลาย ๆ คนที่ไม่มีห้องหรือพื้นที่ที่สามารถใช้สมาธิทำงานในบ้านอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ก็อาจจะเจอปัญหายุ่งยากสักหน่อย โดยเฉพาะถ้าบ้านไหนมีเด็กล่ะก็ เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายสำหรับการทำงานที่บ้านเลยแหละ
สิ่งที่คุณต้องการ คือ ห้องสักห้องที่มีประตูปิด เพื่อป้องกันการรบกวนจากภายนอก หรือเพียงแค่ทำในสิ่งที่คุณทำได้เพื่อให้มีพื้นที่พอให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่น แม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่มุมโต๊ะ ไม่ใช่บนเตียงที่ทำให้รู้สึกขี้เกียจ หาพื้นที่ในบ้านที่คุณรู้สึกว่าสามารถนั่งทำงานตรงนั้นได้อย่างสบาย ๆ 6-7 ชั่วโมง อาจจะเป็นมุมติดหน้าตาเพื่อที่เวลารู้สึกล้า คุณจะได้ทอดมองออกไปเพื่อพักผ่อนสายตา ที่สำคัญคือพื้นที่ที่แบ่งชัดเจนว่านี่คือการทำงานที่บ้าน ไม่ใช่วันหยุดพักผ่อนที่บ้าน
แม้ว่าการทำงานที่บ้านดูเหมือนจะมีเวลามากมายและจะทำอะไรก็ได้สบาย ๆ เพราะเราอยู่บ้าน แต่ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า นี่คือการ “ทำงานที่บ้าน” ความน่ากลัวของมันคือเส้นแบ่งเวลาที่พร่าเลือนระหว่างเวลาส่วนตัวกับเวลาทำงาน ซึ่งถ้าไม่จัดการแบ่งเวลาดี ๆ คุณอาจจะรู้สึกว่าคุณทำงานเยอะเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน หรือพักผ่อนเยอะเกินไปจนไม่ได้งาน
คำแนะนำ คือ คุณควรจะกำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจนและตายตัว เหมือนเวลาทำงานปกติที่คุณต้องไปออฟฟิศ เช่น ตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น. คือเวลาทำงานนะ พักกินข้าวเที่ยง 1 ชั่วโมง 5 โมงเย็นปุ๊ปปิดคอมทันที ตอกบัตรเลิกงานจากที่บ้าน การทำแบบนี้จะทำให้คุณสามารถแบ่งเวลาการทำงานออกจากเวลาส่วนตัวได้อย่างชัดเจน และใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใครหลาย ๆ คนอาจจะอยากลองทำงานทั้งชุดนอนดูบ้างสักครั้ง แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ ถึงแม้คุณจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน แต่ก็จำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อบอกกับสมองว่าคุณกำลังสลับเข้าสู่โหมดทำงานแล้วนะ ไม่ใช่นอนเล่นอยู่บนเตียง
คุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเหมือนไปทำงานจริง ๆ ก็ได้ แต่แค่ต้องแต่งตัวเพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องเริ่มทำงานแล้ว คุณจะต้องสร้างกิจวัตรประจำวันให้เหมือนกับการไปทำงานที่ออฟฟิศให้มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพจะได้ไม่ยิ่งหย่อนไปจากเดิม
สิ่งสำคัญก็การทำงานที่บ้าน คือ การสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงานมากที่สุด และบ้านของเราก็เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคุณต้องกำจัดมันทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงนุ่ม ๆ ทีวีจอใหญ่ยักษ์ในบ้าน เน็ตฟลิกซ์หรือรายการโปรดที่คุณพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ
จัดการเอามันออกจากสายตาของคุณซะ หรือทำให้เข้าถึงมันได้ยากขึ้น เพื่อที่คุณจะได้มีสมาธิในการทำงาน ไม่วอกแวก คุณต้องเลือกแล้วแหละว่าจะให้ความเคยชินในบ้านเป็นอุปสรรคในการทำงานของคุณรึเปล่า เมื่อไม่มีอุปสรรคงานย่อมเสร็จได้แน่นอน
มันเป็นเรื่องยากที่จะคงประสิทธิภาพในการทำงานที่บ้านให้เท่ากับการทำงานที่ออฟฟิศ เพราะด้วยสภาพแวดล้อม ความพร้อม อุปกรณ์ หรืออะไรหลาย ๆ อย่างที่ออฟฟิศเอื้อให้เหมาะกับการทำงานมากกว่า ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำเมื่อต้องทำงานที่บ้าน คือ กำหนดและตั้งเป้าหมายในการทำงานให้ชัดเจนว่าวันนี้เราจะทำอะไรบ้าง ทำโปรเจคไหนให้เสร็จ
ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเยอะหรอก เพราะมันจะดูดพลังงานของเราไปและดูยากเกินจะทำให้เสร็จทั้งหมด ลองกำหนดเป้าหมายสักข้อสองข้อ และทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ ถ้าคุณรู้สึกหมดพลังกับการทำตามเป้าหมายที่แม้จะมีเพียงข้อเดียวละก็ เราขอแนะนำให้คุณลองแบ่งย่อยเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น ถ้าคุณต้องทำกราฟฟิคส่งลูกค้า คุณอาจจะแบ่งเป็นว่าทำรูปคนให้เสร็จแล้วพัก 10 นาที มาทำข้อความต่อให้เสร็จแล้วพักอีก 10 นาที เป็นต้น หลักคิดแบบนี้ก็เปรียบเหมือนการเดินขึ้นยอดเขาเอเวอร์เรสที่ระหว่างทางจะมีแคมปิ้งให้พักนั้นแหละ ผ่านแคมปิ้ง 1 2 3 ไปได้ เดี๋ยวเราก็จะถึงยอดเขาเอง
เพราะการสื่อสารสำคัญมาก อย่าลืมว่านี่คือการทำงานที่บ้าน ไม่ใช่การหยุดอยู่บ้าน ดังนั้นคุณจึงควรพร้อมที่จะต้องติดต่อกับเพื่อนร่วมงานหรือคนในทีมได้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถทำงานได้ทันที รับสายทัน และสื่อสารกันรู้เรื่อง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าหัวหน้าจะโทรมาตอนไหน หรือทีมจะนัดประชุมกันเมื่อไหร่
นอกจากนี้คุณควรจะตกลงกับคนในทีมหรือหัวหน้าให้เรียบร้อย ว่าจะติดต่อสื่อสารกันผ่านทางช่องทางไหน จะส่งงาน ส่งไฟล์เอกสาร ข้อมูล หรือใด ๆ ก็ตามอย่างไร เพื่อป้องกันความสับสนและความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการสื่อสาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจากที่บ้านของคุณด้วย
ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติแบบนี้ อาจจะทำให้ใครหลายคนเป็นกังวลและเครียดกับสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และการทำงานที่เปลี่ยนไป มันจะมีปัญหาต่าง ๆ เข้ามาบ้างจาการเปลี่ยนแปลงนี้ สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือ ยอมรับว่าอะไรหลาย ๆ อย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ถือซะว่าวิกฤตครั้งนี้คือโอกาสให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ
คุณจะเห็นว่าท่ามกลางความไม่ปกติแบบนี้ มันทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างและออกจาก comfort zone มาทำอะไรใหม่ ๆ มากขึ้น อะไรไม่เคยทำก็จะได้ทำ เช่นที่คุณต้องมาทำงานจากที่บ้านแทนที่จะทำงานที่ออฟฟิศแบบนี้ เรียนรู้ที่จะปรับตัวไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจจะทำให้คุณมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าเดิมก็ได้นะ
ข้อสำคัญ คือ ความเคยชิน เรามักจะชินว่าอยู่ออฟฟิศก็ทำงาน อยู่ที่บ้านก็ต้องพักผ่อน แต่เมื่อเราต้องมาทำงานที่บ้านที่ที่ควรจะได้พักผ่อน จึงอาจจะทำให้เราไม่คุ้น ไม่มีอารมณ์ และทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเราจึงจะต้องทำสภาพแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับการทำงานที่สุด
ปรับ mindset แบ่งเวลาพักผ่อนกับเวลาทำงานให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดจากการที่รู้สึกว่าไม่ได้พักผ่อน แบ่งกิจกรรมในบ้านให้ชัดเจน พักกินข้าวก็คือพักกินข้าว ทำงานก็คือทำงาน ไม่ควรทำงานไปด้วยกินข้าวไปด้วย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเป็นอุปสรรคในการทำงานที่บ้านของเรา แต่จำไว้ว่าแม้สถานที่ในการทำงานจะเปลี่ยน แต่สถาะพนักงานของเราไม่ได้เปลี่ยนตาม
ข้อมูลจาก
https://www.psychologytoday.com/intl/blog/tech-support/202003/weirded-out-working-home-7-tips-make-it-easier
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดหลักสูตร “Young SME” สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เน้นเชื่อมโยง Soft Power เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการ หลักสูตร Young…
บุรินทร์เจอนี่ พาไปรู้จักกับแนวคิด Driving People’s Actions ของบริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส จำกัด และการรูปแบบการทำงานในองค์กรที่สอดแทรกความยั่งยืนเข้าไปในทุก ๆ กิจกรรมรอบตัว โดยคุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร…
อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล "ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี" พร้อมอีก 2 รางวัล จากงาน DG Awards 2023 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ดร.…
ฮาคูโฮโด เฟิร์ส ฉลองความสำเร็จครบรอบ 20 ปี เผยกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจจากประสบการณ์และ ความสำเร็จที่เน้นแนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์ของแบรนด์ ด้วยการสร้างพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงโจทย์ Driving People’s Actions คุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท…
พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในพระบรมราชูปถัมภ์ รุ่นที่ 4 แก่ผู้สำเร็จการอบรม 241 คน 27 มิถุนายน 2566, กรุงเทพ:…
ห่างหายไปนานสำหรับคอลัมน์ HiGen by Je Supaluck การกลับมาครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง "ผู้สูงวัย" น่าจะนับได้จากผู้มีอายุ 50 ขึ้นไป (วัยกลางคน) นั่นล่ะคือคนที่เริ่มเข้าสู่คนยุคสูงวัย (HiGen) โดยแท้ ไม่เว้นว่าเป็นหญิงหรือชายนับแต่คริสต์ศักราช…
This website uses cookies.