Categories: TRENDTREND

“โควิดก็ต้องกลัว แต่หัวใจก็ต้องหา” เมื่อโควิดคือศัตรูของความรักที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องเหินห่าง

4.5 / 5 ( 6 votes )

“คนเป็นแฟนกัน แต่ไม่เจอหน้ากันเลยเป็นเดือน ๆ ได้แค่คอลคุยกัน เห็นหน้ากันผ่านจอ มันจะไปรอดหรอวะ”

เพื่อนผมคนหนึ่งทักมาปรึกษาผมด้วยความกลัดกลุ้มกุมขมับผ่านตัวอักษร ที่สะท้อนผ่านหน้าจอโทรศัพท์ว่าจะเลิกกับแฟนดีไหม “คนเป็นแฟนกันก็อยากเจอกันบ้าง แต่ไม่ได้เจอเลย แบบนี้สู้เลิก ๆ กันไปเลยดีกว่า” เธอว่าแบบนั้น

ในขณะที่เพื่อนอีกคนหนึ่ง โทรมาระบายความในใจว่าได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนๆ นึงผ่านตัวอักษรมาสักระยะแล้ว แต่ยากมากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ต่อไปได้โดยไม่เคยเจอหน้ากัน และถึงอยากเจอก็เจอไม่ได้….

มีอยู่หลายคนที่ต้องเลิกกับแฟนในช่วงนี้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเรื่องระหองระแหงกันอยู่แล้ว หรือดอกรักจะเบ่งบานรักกันปานจะกลืนกินขนาดไหน กระทั่งคนโสดที่จะหาแฟนก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน พาลให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของโควิดมีผลกับการเกิดขึ้นของความรักและการดำรงอยู่ของความสัมพันธ์บ้างรึเปล่า

วันนี้ passion gen ชวนตั้งคำถามและจะพาไปสำรวจว่าทำไมโควิดถึงมีผลกระทบต่อความรักและความสัมพันธ์ของผู้คนได้ เพราะรักของเขาและเธอไม่มั่นคงหรือโควิดจะเป็นตัวการของเรื่องราวทั้งหมด

เราจะรักกันมากขึ้นรึเปล่า?

หากมองดูเผิน ๆ การต้องกักตัวอยู่บ้านน่าจะทำให้เรารักกันมากขึ้น เพราะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าเดิม แต่จากสถิติแล้วดูจะไม่ใช่เช่นนั้น

“300 คู่” คือ จำนวนตัวเลขของคู่รักในเมืองต้าโจว มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ที่ทำการนัดหมายกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอจดทะเบียนหย่า ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงช่วงต้นเดือนมีนาคม หลู ฉือจุน หัวหน้าแผนกการจดทะเบียนสมรส กล่าวว่า อัตราการขอจดทะเบียนหย่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าการระบาดของไวรัส ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่คู่รักใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากเกินไปในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน จึงอาจจะมีปากเสียงกันจนนำไปสู่การหย่าร้าง เช่นเดียวกับที่เมืองซีอานและเซี่ยงไฮ้ มีผู้ขอยื่นจดทะเบียนหย่าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

สำนักพิมพ์ Global Times ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของสำนักงานจดทะเบียนหย่าแห่งหนึ่ง ว่าตัวเลขของอัตราการขอนัดหมายเพื่อยื่นจดทะเบียนหย่าสูงขึ้นถึง 14 ครั้ง ภายในวันเดียว ซึ่งเกินกว่าที่ทางการกำหนด ขณะที่ในประเทศสหรัฐฯ ร้อยละ 12 ของชาวอเมริกันยอมรับว่าพวกเขามีปากเสียงกับคู่รักมากขึ้นในช่วงโควิด

นอกจากนี้สมาคมจิตแพทย์อเมริกา ได้เปิดเผยว่าจากการสำรวจ คู่รักชาวอเมริกันมีความสุขมากขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของการ Lockdown แต่เมื่อผ่านไปเกิน 1 เดือน พวกเขารู้สึกเครียด กดดัน และคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไปไม่รอด

จะเห็นได้ว่าภายใต้การ Lockdown และรักษาระยะห่างระหว่างกันในประเทศต่าง ๆ  ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่รักที่แต่งงานกันแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ เราเคยคิดกันว่าเมื่อคู่รักมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็น่าจะรักกันมากขึ้นสิ แต่ตัวเลขก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับตรงกันข้าม

ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่มีต่อความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานอย่างชัดเจน แล้วสำหรับคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกันล่ะ? เราคงไม่สามารถหาตัวเลขอย่างเป็นทางการมายืนยันได้หรอกครับว่าเลิกกันไปกี่คู่ เตียงหักกันไปกี่คน แต่ก็คงเป็นจำนวนไม่น้อยเหมือนกันเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนโควิด ซึ่งน่าจะพอมานั่งวิเคราะห์ว่าเพราะอะไรกันนะ ที่ทำให้คู่รักต้องจบความสัมพันธ์ลงแบบนี้

เพราะอยู่ด้วยกันนานเกินไป?

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับมนุษยชาติ ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากโควิดกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแน่นอนว่าคู่รักก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนกำลังเครียด กดดัน และรอคอยอย่างไม่รู้จุดสิ้นสุดว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ ในสภาวะเครียดและวิตกอย่างเรื้อรังแบบนี้ย่อมส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ สุขภาพเริ่มแย่ลง การนอนหลับเริ่มผิดปกติ หงุดหงิดและโมโหง่ายขึ้น

อารมณ์ที่แปรวปรวนขึ้นเรื่อย ๆ จากความเครียด แถมยังไม่สามารถที่จะไปทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างที่เคย ออกไปข้างนอกบ้านก็ไม่ได้ ไปช็อปปิ้ง พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็ไม่ได้ ไปออกกำลังกายรับลมกลางแจ้งก็ไม่ได้ ทั้งหมดนี้ทำให้คู่รักหลาย ๆ คู่ รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันที่บ้าน จนเริ่มที่จะมีปากเสียงกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนลามไปถึงเรื่องใหญ่ ๆ ในที่สุด (จะหนีไปสงบสติอารมณ์ข้างนอกก่อนก็ไม่ได้อีกนะ)


บทความที่น่าสนใจ


เพราะเราเจอกันไม่ได้?

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะมีคำถามอยู่ในใจว่า “แล้วคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับแฟนล่ะ?”

สำหรับคู่รักที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นอนบ้านเดียว ลงหลักปักฐานอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แน่นอนว่าการ Lockdown ที่เราต้องกักตัวอยู่บ้าน ต้องรักษาระยะห่าง ออกมาเจอกันไม่ได้เพราะไม่มีที่ไหนที่เปิดให้เรามาเจอกันได้เลย ต้องพบกับความสัมพันธ์ทางไกลฉบับย่อ เพราะโควิดทำให้เราออกมาเจอหน้ากันไม่ได้

แม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้เราสามารถวิดีโอคอลคุยกันได้แบบเห็นหน้า แต่การเห็นหน้าคนที่เรารักผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม ก็ไม่ได้ทำให้หายคิดถึงกันสักเท่าไหร่ จับมือกันไม่ได้ สูดกลิ่นกายของเขาหรือเธอก็ไม่ได้ จะโอบกอดกันผ่านวิดีโอคอลได้ยังไง มองตากันผ่านกล้องก็ไม่เหมือนได้มองตากันจริง ๆ

การที่ไม่ได้เจอกันเลยนานเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน เป็น 2 เดือน ย่อมส่งผลอะไรบางอย่างกับความสัมพันธ์อยู่ไม่น้อย หลายคู่อาจจะรู้สึกว่าก็ดี ห่างกันให้คิดถึงกันบ้าง ให้เวลาและระยะทางเป็นบททดสอบของความสัมพันธ์ที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่สำหรับอีกหลายคู่ที่เวลาและระยะทางกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ความรักต้องสั่นคลอนและเป็นจุดสิ้นสุดของทางเดินแห่งความสัมพันธ์ เหมือนกับที่เพื่อนของผมทักมาปรึกษานั่นแหละ

อย่างที่บอกไปแล้วว่าความเครียดก็มีผลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน การโดดเดี่ยวตัวเอง การเว้นระยะห่างทางสังคม และความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับชีวิตคู่ เร่งรัดให้ความสัมพันธ์ต้องยุติลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

รักจะเกิดขึ้นมันต้องมองตา ไม่ใช่มองจอ

ไม่ใช่เฉพาะแค่คู่รักเท่านั้น ที่สถานการณ์นี้เป็นเรื่องท้าทายในการรักษาความสัมพันธ์ให้อยู่ไปตลอดรอดฝั่ง แต่กับคนโสดที่หวังจะปลูกต้นรักกับใครสักคนก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน เมื่อการ Lockdown ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสที่จะไปพบปะผู้คน ไปเจอสังคมและคนใหม่ ๆ โอกาสที่จะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับชายหนุ่มหรือหญิงสาวดูเหมือนจะเป็นแสงเทียนที่ริบหรี่

ในสถานการณ์ปกติ การเริ่มต้นความสัมพันธ์ในสังคมไทยก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว เพราะประเทศไทยไม่ค่อยจะมีพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ให้เราได้เริ่มต้นความสัมพันธ์หรือออกเดทกันสักเท่าไหร่ การเดทในแต่ละครั้งเราถูกบังคับให้ต้องไปเดทกันในห้างสรรพสินค้า ในโรงภาพยนตร์ เราจะไม่เห็นภาพของการเดทที่สวนสาธารณะ เดินจีบกันตามทางเท้า หรือนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินริมแม่น้ำ เหมือนหนังฮอลลีวู๊ดในไทยกันหรอก และนั่นทำให้การเริ่มต้นความสัมพันธ์ภายใต้สถานการณ์ที่ห้างจำเป็นต้องปิดตัวชั่วคราว เป็นไปได้ยากยิ่งกว่าเก่า เพราะสถานที่ที่เราจะได้มาเจอกัน มาเดทกัน ได้อันตรธานหายไปแล้ว แล้วเราจะไปจีบกันได้ที่ไหนล่ะ?

มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาครับ ว่าเราโทรจีบ แชทจีบกันก็ได้นี่ โปรแกรมหาคู่ต่าง ๆ ก็มีเยอะแยะ เดี๋ยวนี้มีวิดีโอคอลเห็นหน้ากันอีกต่างหาก โถ่ คุณครับ จริงอยู่ที่เรามีพื้นที่ในโลกเสมือนที่ย่นย่อพื้นที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ให้เราได้ทำความรู้จักกันง่ายขึ้น แต่การจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้เติบโตต่อไปได้ เราจำเป็นที่จะต้องเจอหน้ากันแบบตัวเป็น ๆ ไม่ใช่ในโลกเสมือน ได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้กินข้าวกัน ออกเดท และเรียนรู้กันเหมือนที่ ‘เพลงโอมจงเงย’ ว่าไว้นั่นแหละ “รักจะเกิดขึ้นมันต้องตา ไม่ใช่มองจอ”

ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ

โควิดไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจและปากท้อง แต่กระเทือนไปถึงหัวใจของหนุ่มสาว และกระทั่งไปถึงคู่แต่งงานฉันท์สามีภรรยา มันทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนระหองระแหงขึ้นได้เมื่อต้องอยู่ด้วยกันนานเกินไป มันทำให้ความรักของใครหลายคนต้องเหินห่างเมื่อทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ใกล้กันได้ในช่วงเวลาวิกฤต และมันทำให้กามเทพมิอาจแผลงศรใส่หัวใจของผู้ที่ปรารถนาจะลิ้มรสชาติแห่งความรัก

เช่นนั้นเราอาจจะพูดได้ว่าโควิดเป็นศัตรูของมนุษยชาติได้อย่างเต็มปาก เมื่อมันสามารถทำลายไปถึงหัวใจที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติแบบนี้การเป็นมนุษย์ผู้อกหักดูเป็นเรื่องที่ยากเกินไปที่จะรับมือ

แหม่ๆ แต่โลกก็ไม่ได้มืดมนขนาดนั้นหรอกครับ มองในแง่บวก สถานการณ์แบบนี้ก็เป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์รักของคนสองคนนั่นแหละ แม้มันอาจจะยากสักหน่อยสำหรับบางคน แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากสามารถผ่านช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ไปได้ ความรักของคุณทั้งคู่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

คุณอาจจะรักและเข้าใจกันมากขึ้นก็ได้ พยายามปลอบประโลมตัวเองในทุก ๆ วัน เผื่อแผ่ความเอื้ออาทรให้กับทุกคน หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ คิดและมีสติให้มากขึ้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคุณ อดทนแล้วพวกเราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน

“ฟ้าหลังฝนมันสวยงามเสมอแหละ” เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ

 

อ้างอิง

https://workpointnews.com/2020/03/19/covid19-china-divorce 

https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/during-covid-19-do-not-let-love-decrease

 

อภินัทธ์ เชงสันติสุข

เด็กหนุ่มที่กำลังเรียนรู้ชีวิตและถูกเฆี่ยนตีด้วยความเป็นผู้ใหญ่

Recent Posts

Young SME หลักสูตรสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ชู Soft Power เสริมสร้างธุรกิจยั่งยืน

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดหลักสูตร “Young SME” สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เน้นเชื่อมโยง Soft Power เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการ หลักสูตร Young…

6 months ago

Driving People’s Actions แนวคิดธุรกิจยุคใหม่ กับ มุมมองด้านความยั่งยืน

บุรินทร์เจอนี่ พาไปรู้จักกับแนวคิด Driving People’s Actions ของบริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส จำกัด และการรูปแบบการทำงานในองค์กรที่สอดแทรกความยั่งยืนเข้าไปในทุก ๆ กิจกรรมรอบตัว โดยคุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร…

9 months ago

อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล “ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี” จากงาน DG Awards 2023

อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล "ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี" พร้อมอีก 2 รางวัล จากงาน DG Awards 2023 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ดร.…

10 months ago

Driving People’s Actions แนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์แบรนด์ สไตล์ ฮาคูโฮโด เฟิร์ส

ฮาคูโฮโด เฟิร์ส ฉลองความสำเร็จครบรอบ 20 ปี เผยกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจจากประสบการณ์และ ความสำเร็จที่เน้นแนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์ของแบรนด์ ด้วยการสร้างพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงโจทย์ Driving People’s Actions คุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท…

10 months ago

พิธีปิดการอบรมหลักสูตร SML รุ่นที่ 4 ปี2566

พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในพระบรมราชูปถัมภ์ รุ่นที่ 4 แก่ผู้สำเร็จการอบรม 241 คน 27 มิถุนายน 2566, กรุงเทพ:…

1 year ago

เมื่อสูงวัยต้องไปทำฟัน

ห่างหายไปนานสำหรับคอลัมน์ HiGen by Je Supaluck การกลับมาครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง "ผู้สูงวัย" น่าจะนับได้จากผู้มีอายุ 50 ขึ้นไป (วัยกลางคน) นั่นล่ะคือคนที่เริ่มเข้าสู่คนยุคสูงวัย (HiGen) โดยแท้ ไม่เว้นว่าเป็นหญิงหรือชายนับแต่คริสต์ศักราช…

1 year ago

This website uses cookies.