‘กรุ๊งกริ๊ง ๆ’ เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นในเดือนธันวาคม แสงไฟระยิบระยับที่ห้างร้านต่าง ๆ นำมาประดับประดา พร้อมกับลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านผิวกาย และกลิ่นดอกตีนเป็ด เป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ว่า “เทศกาลคริสต์มาส” ได้มาถึงแล้ว
แม้ปีนี้การระบาดของโควิด-19 จะพรากโอกาสในการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี กับคนที่เรารักไปบ้าง แต่โรคร้ายก็ไม่อาจจะพรากความอบอุ่นและมนต์เสน่ห์ของคริสต์มาสไปได้ วันนี้ PassionGen จึงขอถือโอกาสร่วมฉลองวันคริสต์มาสไปพร้อมกับทุกคน ด้วย 5 เรื่องราวของเทศกาลคริสต์มาสที่ใครหลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน กับ “ที่สุดของวันคริสต์มาส”
1. ภาพยนตร์คริสต์มาสที่ดีที่สุดตลอดกาล
วันคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษสำหรับครอบครัว ที่เต็มไปด้วยอาหารอร่อย ๆ อบอวลไปด้วยความรัก เคล้าไปกับเสียงเพลง และที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ภาพยนตร์’
มีภาพยนตร์ดี ๆ เกี่ยวกับคริสต์มาสอยู่มากมาย แต่รู้ถ้าถามว่าภาพยนตร์เรื่องไหนคือภาพยนตร์คริสต์มาสที่ดีที่สุดตลอดกาลล่ะก็ ต้องเรื่องนี้เลย “It’s a Wonderful Life”
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1946 หรือเมื่อ 74 ปีที่แล้ว เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ในสมัยที่ยังคงเป็นภาพยนตร์ขาวดำอยู่ แต่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์คลาสสิคที่อยู่เหนือกาลเวลา และตรึงตราตรึงใจผู้ที่ได้รับชมมามากมาย
โดยในการออกฉายครั้งแรก ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้รวมแค่ 3.3 ล้านเหรียญฯ จากงบประมาณในการสร้างกว่า 3.7 ล้านเหรียญฯ แต่กระนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังถูกนำมาปัดฝุ่นฉายอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 70 และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้
แก่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้คนดูมีความเชื่อมั่นและไม่สิ้นหวังต่อความดี ซึ่งดำเนินเรื่องผ่านชายคนหนึ่งที่ในวัยเด็กนั้น เขามีความฝันยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเขาโตขึ้นเรื่อย ๆ ความฝันก็เขากลับค่อย ๆ เล็กลง กระทั่งความสุขของเขาในวัยผู้ใหญ่ คือ การมีครอบครัวเล็ก ๆ ที่น่ารัก ทว่าชีวิตของเขาต้องประสบพบเจอกับ ‘มรสุมของชีวิต’ มากมาย จนคิดอยากจะหายไปจากโลกนี้ซะ และจุดเปลี่ยนของเรื่องราวก็เริ่มขึ้น เมื่อมีเทวดาองค์หนึ่งมาช่วยเขาจากการกระโดดลงแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย เขาได้ตัดพ้อกับเทวดาองค์นี้ว่า “ถ้าหากเลือกได้ เขาไม่ควรจะเกิดมาบนโลกใบนี้” เทวดาจึงบันดาลให้เขาได้เห็นภาพของโลกที่เขาไม่ได้เกิดมา ว่าเป็นอย่างไร
It’s a wonderful life อาจจะดูเป็นภาพยนตร์ที่มีความบันเทิงตามสไตล์หนังคริสต์มาสทั่วไป แต่แมสเสจของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอกย้ำให้เราเห็นถึงคุณค่าของทุกชีวิต เราทุกคนต่างเชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์รอบข้างเสมอ การดำรงอยู่ของชีวิตหนึ่งย่อมมีคุณค่าและเหตุผลในตัวของมัน และได้ส่ง ‘แรงบันดาลใจ’ ให้ทุกคนที่ได้ดูตลอดไป
https://www.independent.co.uk/arts-entertainment/films/features/best-christmas-films-home-alone-b1777054.html
2. เพลงคริสต์มาสที่คนจดจำได้มากที่สุด
เมื่อพูดถึงเพลงคริสต์มาส เชื่อว่าเพลง “All I Want For Christmas Is You” คงดังขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว
“All I Want For Christmas Is You” เพลงคลาสสิคประจำเทศกาลคริสต์มาสของดีว่ารุ่นใหญ่ “มารายห์ แคร์รี่” ได้รับรางวัลและบันทึกลง Guinness World Record ว่าเป็นเพลงคริสต์มาสที่คนจดจำได้มากที่สุดและขายดีที่สุด
เพลงนี้ปล่อยออกมาครั้งแรก เมื่อ 26 ปีที่แล้ว ในเดือนตุลาคม ปี 1994 และได้รับความนิยมมาเรื่อย ๆ กระทั่งโด่งดังเป็นพลุแตก เมื่อถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Love Actually ความสำเร็จของภาพยนตร์ทำให้เพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดและกลายเป็นที่จดจำของผู้คนไปด้วย
โดยในปี 2017 เพลง “All I Want From Christmas Is You” ทำรายได้จากค่าลิขสิทธิ์มากกว่า 1,800 ล้านบาท และขึ้นอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ ในปี 2019 นอกจากนี้ยังได้รับการบันทึกว่าเป็นเพลงที่ถูกเปิดใน Spotify มากที่สุด ภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยถูกสตรีมไปมากกว่า 10.8 ล้านครั้ง และเพลงนี้ยังอยู่บนชาร์ต Top 10 UK นานสูงสุด 20 สัปดาห์
แม้เพลงนี้จะประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำของผู้คนเหนือกาลเวลาขนาดนี้ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ผู้คนก็ยังคงร้องเพลงนี้คู่ไปกับเทศกาลคริสต์มาสอยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่า มารายห์ แคร์รี่ ใช้เวลาแต่งเพลงนี้แค่ 15 นาทีเท่านั้นเอง!
3. ตลาดคริสต์มาสที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
เทศกาลคริสต์มาสที่ถูกต้อง จะต้องมาพร้อมกับตลาดและการจับจ่ายใช้สอยสิถึงจะถูก และตลาดคริสต์มาสที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั้น คือ ตลาดคริสต์มาสใจกลางกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่มีชื่อว่า “Krippenmarkt” โดยย้อนหลังไปได้ถึงปี 1298
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่จตุรัส Rathausplatz ในกรุงเวียนนา มีร้านค้ามากกว่า 150 ร้าน ที่เต็มไปด้วยอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ของใช้ต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้ยังมีชิงช้าสวรรค์ ลานสเก็ตน้ำแข็ง และเป็นตลาดที่แต่งแต้มไปด้วยแสงไฟที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 3.5 ล้านคน มาเยือนตลาดที่ยังความคึกคักและความดั้งเดิมไว้ได้แห่งนี้ เรียกได้ว่าใครที่หลงรักเทศกาลคริสต์มาส ควรจะลองมาเที่ยวที่ตลาดแห่งนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิตเลยแหละ
Frohe Weihnachten นะครับทุกคน!
https://www.ef.com/wwen/blog/language/our-5-favorite-christmas-markets-in-europe/
4. เมืองหลวงแห่งคริสต์มาส
ถ้าจะถามว่าเมืองไหนคือเมืองหลวงแห่งคริสต์มาส ต้องขอตอบเลยว่า “Strasbourg” ไงล่ะคร้าบบบ
เมือง Strasbourg (สตราสบูร์ก) ตั้งอยู่ในแคว้น Alsace-Lorraine ประเทศฝรั่งเศส ในเวลาปกติเมืองแห่งนี้ก็อาจจะดูไม่ต่างกับเมืองอื่น ๆ ในยุโรปเท่าไหร่ แต่เมื่อเทศกาลคริสต์มาสได้มาเยือนเมื่อไหร่ จะเปลี่ยนเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งคริสต์มาสทันที
ลองจินตนาการถึงบรรยากาศที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไวน์ในอากาศ เพลงคริสต์มาสที่คลอเคล้าไปทั่วทั้งเมือง และแสงสีที่ฉาบเมืองแห่งนี้ให้มีสีสัน ประกอบกับภาพของเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารที่งดงาม และเต็มไปด้วยตลาดคริสต์มาสน้อยใหญ่ที่กระจายไปอยู่ทั่วทั้งเมือง
ของขึ้นชื่อของเมืองหลวงแห่งคริสต์มาส คือ ไวน์ร้อน สูตรเฉพาะตัวของที่นี่
คุณสามารถเดินเพลิดเพลินและซึมซับกับบรรยากาศสุดพิเศษของเมืองแห่งนี้ พร้อมกับจิบอะไรอุ่น ๆ อย่างไวน์ร้อน ท่ามกลางอากาศหนาว ๆ โอ้ยยย ฟินอย่าบอกใคร
https://www.petitesuitcase.com/strasbourg-capital-of-christmas/
5. ที่สุดแห่งมนต์ขลังวันคริสต์มาส
ว่ากันว่าวันคริสต์มาสมีจิตวิญญาณและเวทมนตร์อยู่ และเหตุการณ์ต่อไปนี้คงเป็นหลักฐานชิ้นดีที่แสดงให้เราเห็นว่า “มนต์ขลังแห่งวันคริสต์มาส” มีอยู่จริง
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ในสมรภูมิรบด้านตะวันตกของฝรั่งเศส ที่มีกองทัพผสมระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งประจันหน้ากับกองทัพเยอรมัน หลังสงครามผ่านมา 5 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ความตึงเครียดที่ดำเนินไปอย่างไม่มีทีว่าจะจบลงง่าย ๆ แต่ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บในเดือนธันวาคมกลับมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้น เมื่อเทศกาลคริสต์มาสได้เดินทางมาถึง
แม้ว่าทหารทั้งสองฝ่ายต่างต้องจับมือและคอยประหัตประหารกัน แต่สนามรบในวันคริสต์มาส ปี 1914 กลับแตกต่างไปจากสนามรบที่อื่น ๆ เพราะทหารตั้งสองฝ่ายยอมวางอาวุธและมาร่วมกันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้ด้วยกัน ทั้งสวมกอด แลกของขวัญ แบ่งบุหรี่ เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้ฝังศพผู้ที่เสียชีวิต และจัดการแข่งฟุตบอลเพื่อกระชับมิตรระหว่างกัน
แต่การพักรบในวันนั้นไม่ได้กลายเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามจริง ๆ เพราะเมื่อวันคริสต์มาสผ่านพ้นไป เหล่าทหาร ณ สมรภูมิ ที่เกิดเรื่องราวสุดมหัศจรรย์นี้ขึ้น ต้องอยู่ย้ายไปประจำการที่อื่น และความโหดร้ายของสงครามครั้งนี้ก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งปี 1918
บทเพลงแห่งคริสต์มาสที่ดังขึ้นและถูกร้องตามโดยเหล่าทหารทั้งสองฝั่ง จนนำไปสู่การหยุดยิงชั่วคราวอย่างไม่เป็นทางการ กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส” ที่แม้จะเป็นเพียงการหยุดยิงแค่ชั่วคราว แต่อย่างน้อย “มนต์ขลังแห่งวันคริสต์มาส” ก็นำมาซึ่งมิตรภาพระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย และทำให้เรารู้ว่าลึก ๆ แล้ว มนุษย์ต่างก็ต้องการสันติภาพกันทั้งนั้น
https://www.iwm.org.uk/history/the-real-story-of-the-christmas-truce
Category: