ในยุคที่ใครต่อใครก็ตื่นตัวเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม หันไปทางไหนก็เห็นผู้คนหิ้วถุงผ้าถุงกระดาษแทนถุงพลาสติกกันเต็มไปหมด ร้านค้าร้านกาแฟหลายร้านก็เปลี่ยนมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าด้วยแก้วกระดาษเคลือบแทนแก้วพลาสติก (แม้แต่ผู้เขียนเองก็ขยาดที่จะใช้หลอดพลาสติกเพราะกลัวน้องเต่าทะเลจะตาย) น่าดีใจแทนโลกใบนี้ที่ในที่สุดมนุษย์ก็หันกลับมาดูแลเอาใจใส่หลังจากทำร้ายเธอมานานนับศตวรรษ

หากเราเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตและซื้อของกินของใช้มาจำนวนหนึ่ง มีทางเลือกอยู่สองทางระหว่างการใช้ถุงพลาสติกหรือถุงกระดาษในการหิ้วของพะรุงพะรังเหล่านั้นกลับบ้าน หลายคนที่มีจิตใจรักธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคงจะเลือกใช้ถุงกระดาษ ด้วยคิดว่าถุงกระดาษนั้นน่าจะดีกับสิ่งแวดล้อมากกว่า มันย่อยสลายง่าย รีไซเคิลได้ และมันไม่เคยเข้าไปติดอยู่ในกระเพาะอาหารของพะยูน แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริง ๆ หรือ

สิ่งที่ผู้เขียนกำลังทำไม่ใช่การบอกว่าแนวทางที่เรากำลังทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอยู่นั้นไม่ถูกต้องหรือให้ล้มเลิกการใช้ถุงกระดาษ แต่ผู้เขียนใคร่อยากชวนผู้อ่านมาตั้งคำถามว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้มากน้อยแค่ไหนและเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าในท้ายที่สุดบทความนี้อาจจะไม่ได้ช่วยตอบคำถามอะไรเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยการเริ่มตั้งคำถามก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงหรือ ?

เรามักจะเลือกวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจาก “วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” แต่แล้วอะไรล่ะ คือ “วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ในเมื่อท้ายที่สุดเราก็ต้องนำมันมาจากสิ่งแวดล้อมอยู่ดี นี่คือสิ่งที่ เลย์ล่า อาคาโรกูล (Leyla Acaroglu) นักออกแบบชาวออสเตรเลีย ได้เสนอไว้บน เวที TEDTalks กับกรอบความคิดที่เรียกว่า “ความเชื่อทางสิ่งแวดล้อม (Environmental beliefs)”

เธอกล่าวว่า เราต้องพึ่งพาความคิดจากสัญชาติญาณของเรา เมื่อต้องทำการตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกใช้ถุงกระดาษหรือรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งเราทำสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

ปัญหาอย่างหนึ่งของความเชื่อทางสิ่งแวดล้อม คือ มันมักจะประกอบจากประสบการณ์ส่วนบุคคล คำบอกเล่าที่เราได้ยินจากคนอื่น ไม่ใช่จากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์

ความเชื่อทางสิ่งแวดล้อมนี่เองที่ทำให้เราเลือกทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ แม้ในความเป็นจริงมันอาจจะสวนทางกัน เช่น การเลือกใช้แก้วกระดาษแทนแก้วพลาสติก

แก้วกระดาษก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี

หลายต่อหลายคนอาจจะคิดว่าแก้วกระดาษนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าแก้วพลาสติก เพราะเป็นกระดาษ มันรีไซเคิลได้ มันย่อยสลายได้ไม่เหมือนกับพลาสติกที่ใช้เวลา 3 ชั่วอายุคนก็ยังไม่ย่อยสลาย

แต่ในความเป็นจริงแล้วแก้วกระดาษที่ใช้ในการดื่มชากาแฟของพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ต้องใช้เวลาในการย่อยสลายถึง 20 ปี !

และมันยังไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้! เนื่องจากแก้วกระดาษเหล่านี้ต้องเคลือบหุ้มด้วยพลาสติกภายในเพื่อป้องกันการเปื่อยยุ่ยเมื่อสัมผัสกับน้ำ ในแต่ละปีที่สหรัฐฯ มีแก้วกระดาษกว่า “50,000 ล้านใบ” ที่ต้องถูกนำไปกำจัดโดยการฝังกลบเพราะไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ นั่นเท่ากับต้องใช้น้ำมันปิโตรเลียมถึง 231,000 บาร์เรลต่อปี ในการทำพลาสติกเพื่อหุ้มแก้วกระดาษ ยังไม่นับรวมว่าต้องตัดป่าไม้จำนวนมากในการผลิตกระดาษปริมาณมหาศาลเพื่อทำแก้วกระดาษให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค

ทางเลือกที่ 2 ที่ 3 และที่ 4

ในเมื่อเราไม่สามารถใช้พลาสติกได้เพราะมันทำลายโลก แก้วกระดาษก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วเราจะใช้อะไรดีล่ะเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของเราให้ไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเป็นตัวเลือกให้เรา ๆ ท่าน ๆ ผู้ไม่อยากเห็นธรรมชาติต้องถูกทำลายไปมากกว่านี้ได้เลือกใช้กันมากมาย 1 ในนั้น คือ พลาสติกประเภท Biodegradable ที่เป็นวัสดุย่อยสลายกลับไปสู่ธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือ พลาสติกประเภท Compostable พลาสติกประเภทย่อยสลายเร็วเพื่อเป็นอินทรียวัตถุในดิน มาทำเป็นแก้วหรือถุงพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แต่อนิจจา จากรายงานเจาะเทรนด์โลก 2020 โดย TCDC ระบุว่าพลาสติกประเภทเหล่านี้กลับไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการย่อยสลาย

รายงานฉบับนี้ได้อ้างอิง รายงานวิจัย Environmental degradation of biodegradable polyesters ของมหาวิทยาลัยพลีมัท ซึ่งได้รายงานว่าพบเจอถุงพลาสติกหลายชนิดทั้งประเภท Biodegradable, Oxo-Biodegradable และ Compostable ในทะเลเป็นจำนวนมาก และเมื่อนำไปหาค่าอายุของสสารพบว่าพลาสติกเหล่านี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์เหมือนเมื่อแรกเริ่มที่ผลิต แม้ว่ามันจะลอยอยู่ในทะเลมามากกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม

การเลือกใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ก็อาจจะไม่ได้สร้างความมั่นใจให้คนรักษ์โลกอย่างเราได้เท่าไหร่นัก ว่าเราจะไม่ได้เผลอทำร้ายโลกโดยไม่รู้ตัว แล้วยังเหลือตัวเลือกอะไรอีกบ้างที่จะไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นวายร้ายทำลายธรรมชาติ

ที่ประเทศเยอรมนี บริษัท Leaf Republic ได้พัฒนา บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่ (Fully Sustainable Packaging) ขึ้น ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากใบไม้และสามารถย่อยสลายได้ภายใน 28 วัน โดย Carolin Fiechter ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้กล่าวว่า

พวกเขาใช้เวลากว่า 3 ปี ในการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน โดยวัตถุดิบในการผลิตนั้นนำเข้ามาจากทวีปอเมริกาใต้และเอเชีย ซึ่งเป็นใบไม้ชนิดพิเศษที่มีเซลลูโลสมากเพียงพอที่จะถูกอัดเป็นรูปร่างได้ และยังคงความเขียวอยู่ แม้จะผ่านกระบวนการอบแห้งแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ พวกเขายังทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรอื่น ๆ ในประเทศที่พวกเขานำเข้าวัตถุดิบ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าแรงงานหญิงที่เก็บใบไม้จะได้รับเงินเดือนที่ยุติธรรมและสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับทั้งสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ แม้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้จะเป็นจานใส่อาหารไม่ใช่แก้วแต่อย่างใด แต่ก็อาจจะสามารถนำแนวคิดนี้ไปพัฒนาต่อยอดและทำแก้วที่ทำจากใบไม้ได้ในอนาคต

กระนั้นก็ยังมีการตั้งคำถามว่าการใช้ใบไม้ในการทำบรรจุภัณฑ์ หากได้รับความนิยมมากขึ้นและเป็นทางเลือกหลักแทนแล้ว มันจะก่อให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อมขึ้นอีกหรือไม่จากการถางพื้นที่ป่า เพื่อสร้างพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ที่จะนำใบมาใช้ในการผลิตและป้อนวัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่

จริง ๆ แล้วทางเลือกที่ง่ายและมั่นใจได้ว่าจะไม่ก่อเกิดขยะ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาพลาสติกติดกระเพาะสัตว์น้ำหรือก่อให้เกิดมลพิษกับชุมชน ทำลายสิ่งแวดล้อมจนยากจะเยียวยา คือ การใช้บรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ (Reusable Packaging) อย่างถุงผ้า กระป๋องน้ำ แก้วมัค ปิ่นโต หรือบรรจุภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามแต่แทนการใช้ บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Packaging) ซึ่งก่อให้เกิดขยะปริมาณมหาศาลจนยากจะจัดการไหวในแต่ละวัน แม้อาจจะสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับผู้บริโภคเท่าไหร่ แต่เราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มปกป้องธรรมชาติของโลกใบนี้ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรให้เราปกป้องอีกต่อไป

เริ่มต้นที่ตัวเรา

แนวคิดล่าสุดของการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในชีวิตประจำวันที่ทำได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย อย่างแนวคิด Zero Waste หรือ ขยะเป็นศูนย์ เป็นแนวความคิดที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ผลิตขยะเลย ไม่ว่าจะเป็นขยะจากเศษอาหาร บรรจุภัณฑ์ หรือข้าวของในชีวิตต่าง ๆ โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินชีวิตที่ไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดของที่สุดท้ายต้องไปจบลงในกองขยะ เช่น การนำจาน ชาม หรือปิ่นโตไปซื้ออาหารแทนที่จะให้พ่อค้าแม่ขายใส่กล่องโฟมหรือถุงพลาสติก การปฏิเสธรับถุงพลาสติกตามร้านค้าและนำถุงผ้าไปใส่เอง การเลิกใช้หลอดพลาสติก หรือการทานอาหารให้หมดโดยไม่เหลือเป็นเศษอาหารให้ต้องเททิ้ง

ร้านค้าและแบรนด์ต่าง ๆ ในปัจจุบันก็หันมาใส่ใจกับแนวคิดนี้มากขึ้นอย่าง Starbucks ที่มีความตั้งใจจะลดการใช้หลอดพลาสติกและหันไปใช้หลอดกระดาษแทนตามสาขาต่าง ๆ ทั่วโลก ภายในปี 2020 หรือการเกิดขึ้นของร้าน Refill Shoppe ร้านขายของและคาเฟ่กับแนวคิดการลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นร้านทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์ในการบริโภค โดยผู้บริโภคสามารถนำบรรจุภัณฑ์ของตัวเองมาเพื่อเติมสินค้าตามต้องการ เช่น สบู่เหลว ยาสระผม น้ำมัน น้ำปลา ข้าวสาร หรือสามารถซื้อสินค้าประเภทบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำได้

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และขยะพลาสติกซึ่งเป็นตัวการใหญ่อีกอย่างที่ทำลายธรรมชาติอันแสนสวยงามของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยคือ การที่เราใช้มันอย่างไร ทิ้งมันอย่างไร และจัดการกับขยะอย่างไรโดยไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าเราจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน แต่หากผู้คนมีพฤติกรรมในการบริโภคอย่างไม่รู้จักขอบเขตและไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับขยะที่มาจากการบริโภค ไม่ได้จัดการกับปัญหาที่โครงสร้างของระบบอันเป็นตัวการสำคัญยิ่งกว่าของความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม เราก็อาจจะทำได้เพียงแค่ยืดระยะเวลาที่ธรรมชาติจะพังทลายลงต่อหน้า และอีกไม่นานที่มนุษยชาติจะต้องสิ้นสูญไปพร้อมกับโลกที่พวกเราไม่เคยเหลียวแล


เรียบเรียงจาก
voicetv
tcdc
worldcentric
ted
thaitribune
mangozero
freshplaza

 

 

 

 

 

 

Passion in this story