บนโลกใบนี้จะประกอบด้วยผืนดิน ผืนน้ำ และผืนป่า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสมดุลในกับสิ่งมีชีวิตบนโลกให้สามารถดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ และยังมีอีกหนึ่งพื้นที่ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับมนุษย์ และสัตว์ทะเล คือ พื้นที่ที่เรียกว่า “ป่าชายเลน หรือ Mangrove forest”
ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่อยู่ในแนวเชื่อมต่อระหว่างผืนแผ่นดินกับพื้นน้ำทะเลในเขตร้อน (Tropical) และกึ่งเขตร้อน (Subtropical) ของโลก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความหลากหลายของพันธุ์พืช และสัตว์นานาชนิดที่ใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นดินเลนน้ำกร่อย และมีน้ำทะเลท่วมถึงอย่างสม่ำเสมอ
หากพูดถึงป่าชายเลน ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงต้นโกงกางเป็นสิ่งแรก เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่สำคัญและพบได้มากในบริเวณดังกล่าว เราจึงสามารถเรียกป่าชายเลนได้อีกชื่อว่า “ป่าโกงกาง”
ป่าชายเลน อยู่ที่ไหนได้บ้าง
เราจะพบป่าชายเลนอยู่ 2 พื้นที่ คือ บริเวณปากแม่น้ำหรือน้ำกร่อย ตามริมแม่น้ำและร่องน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำจืดมาก และบริเวณชายฝั่ง หรือปากแม่น้ำสายเล็กๆ ซึ่งน้ำในป่าชายเลนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำทะเล
แหล่งรวมพันธุ์ไม้นานาชนิด ต้องคิดถึงป่าชายเลน
ในป่าชายเลนของไทยมีพันธุ์ไม้ 74 ชนิด พันธุ์ไม้เด่นๆ ได้แก่ โกงกาง, แสม, โปรง, ลำพู, ลำแพน และตะบูน ฯลฯ ซึ่งพันธุ์ไม้ทุกชนิดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสมดุลของระบบนิเวศป่าชายเลนในแต่ละพื้นที่
พืชเอาตัวรอดอย่างไรในป่าชายเลน
พืชในป่าชายเลนมีลักษณะพิเศษในการปรับตัวเพื่อมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตลอดเวลา โดยเฉพาะจากความเค็ม ปริมาณออกซิเจนในน้ำ ความเป็นกรดและด่าง และอุณหภูมิของน้ำ
พืชในป่าชายเลนบางชนิดปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเค็มของดินและน้ำ ด้วยวิธีดูดเกลือเข้าไปในลำต้นแล้วขับเกลือออกทางใบ ในบางชนิดสามารถเก็บสะสมเกลือไว้ในใบ หรือเปลือกไม้ เมื่อมีการผลัดใบ เกลือที่สะสมอยู่ก็จะถูกกำจัดทิ้งไปด้วย
นอกจากนี้ พืชยังเจออิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลง ที่ทำให้ป่าชายเลนมีน้ำท่วมขังอยู่เสมอ ออกซิเจนในอากาศจึงไม่สามารถแพร่กระจายลงสู่ดิน พืชส่วนมากจึงมีระบบรากพิเศษ และเซลล์พิเศษที่สามารถให้อากาศเข้าไปในต้น เรียกว่า รากอากาศ (Pneumatophores) ซึ่งรูปทรงของรากอากาศมีตั้งแต่ผอมบางคล้ายแท่งดินสอ จนกระทั่งเป็นปุ่มอ้วนๆ พืชบางชนิดจะมีรูเล็กๆ จำนวนมากบริเวณลำต้น และราก ที่ช่วยนำอากาศเข้าสู่ต้นพืช จากนั้นเนื้อเยื่อฟองน้ำภายในลำต้นจะนำออกซิเจนไปสู่รากเช่นกัน โดยสภาพดินเลนนิ่มในป่าชายเลน ทำให้ต้นไม้สูงๆ ถูกน้ำพัดล้มลงได้ง่าย พืชต้องปรับตัวเพื่อให้ลำต้นยืนอยู่ได้ด้วยรากที่มีลักษณะต่างกันไป ดังนี้
คลิกเลย! แนะนำบทความน่าอ่าน
- ลด “ไมโครพลาสติก” ฟื้นฟูทุกชีวิตในท้องทะเล
- “สังคมยุคใหม่ ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม”
- คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) “พอดี” โลกนี้ “สมดุล”
- ก๊าซเรือนกระจก ปกป้องโลก ปกป้องเรา!
- อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ด้วยการทำประมงอย่างยั่งยืน
- CLIMATE CHANGE รุนแรงกว่าที่คิด
- TAKEMETOUR” ธุรกิจสตาร์ทอัพท่องเที่ยวแนวคิดใหม่ที่เจ๋งโดนใจแหล่งเงินทุน!
- WONGNAI – STARTUP ไทยกับกลยุทธ์ธุรกิจที่ไม่ธรรมดา!
- SOLAR KIOSK สตาร์ทอัพพลังงานทางเลือก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เจาะกลุ่มชุมชนที่ขาดแคลน
- ต้นโกงกาง -จะมีระบบรากค้ำจุน หรือรากพยุง (Prop roots) และรากอากาศ ที่ห้อยจากลำต้นหรือกิ่งลงสู่ดิน
- ต้นแสม – จะมีระบบรากเคเบิล (Cable roots หรือ Pencil roots) ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อช่วยพยุงลำต้น
- ต้นโปรงแดง – จะมีระบบรากพูพอน (Buttress roots) เช่นเดียวกันกับที่พบในต้นไม้ป่าเขตร้อน
- ต้นถั่วขาว – จะมีระบบรากเป็นแบบเคเบิ้ล และจะส่งรากซึ่งมีลักษณะคล้ายหัวเข่าโผล่ขึ้นมาเหนือผิวดิน
เรื่องสำคัญอีกเรื่องของป่าชายเลน คือ การแพร่พันธุ์ และขยายพื้นที่ ซึ่งต้นไม้ป่าชายเลนจะมีฝักเมล็ดที่สามารถลอยน้ำ และบางชนิดมีผลที่สามารถงอกเป็นต้นอ่อนตั้งแต่อยู่บนต้นก่อนร่วงลงสู่พื้นดิน โดยขณะที่ฝักต้นอ่อนยังคงอยู่บนต้น มันจะได้รับอาหารจากต้น เมื่อร่วงหล่นลงน้ำ จึงสามารถอยู่ในน้ำได้นาน และลอยไปได้ไกล เป็นเหตุให้ต้นไม้ป่าชายเลนจากชายฝั่งแห่งหนึ่ง สามารถแพร่กระจายไปยังที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปได้
เห็นไหมว่า… พืชในป่าชายเลนมีความซับซ้อนของกระบวนการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และมีกลไกในตัวเองอย่างเป็นระบบ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ได้ เราจึงควรช่วยกันฟื้นฟู ดูแลรักษาระบบนิเวศป่าชายเลน เพราะความสมบูรณ์นี้จะส่งผลดีไปสู่ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่ยั่งยืนด้วย
อยากทราบเรื่องระบบนิเวศป่าชายเลน และ ระบบนิเวศของบลูคาร์บอน มากกว่านี้ คลิก bit.ly/bcs-fb-web
ที่มา : คู่มือความรู้เรื่องป่าชายเลน ส่วนส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2556 และ http://www.sc.psu.ac.th/chm/biodiversity/mangrove_plant.html
Category: