ปั้นแบรนด์ยังไงให้ขายดีได้แบบไม่ตกยุค (Part II)
ในยุคที่การทำธุรกิจเต็มไปด้วยการแข่งขันกันอย่างหนักหน่วง แบรนด์ไหนที่เคยดังในอดีต หากไม่พัฒนาตัวเองให้ทันก็ดับหายไป แต่ในกระแสการแข่งขันนี้ ยังคงมีสินค้าที่อยู่เหนือกาลเวลาและสร้างยอดขายระดับร้อยล้านได้ อย่าง แป้งโยคี ของบริษัทศิริบัญชาและน้ำยาอุทัยทิพย์ มาดูกันว่าอะไรคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา
แป้งโยคีและแอลกอฮอล์ล้างแผล ศิริบัญชา สินค้าแบรนด์ไทยที่ไม่ว่าใครก็ต้องมีติดบ้าน
อีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่แม้จะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ต้องการซื้อแอลกอฮอล์ล้างแผล แบรนด์ศิริบัญชาจะเด้งขึ้นมาในหัวแบบอัตโนมัติ หรือในบางครั้งเราก็หยิบขวดแอลกอฮอล์ศิริบัญชาขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว รวมไปถึงเมื่อเกิดปัญหาผดผื่นคัน ผิวอับชื้น จากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทุกคนจะนึกถึงแป้งโยคี สินค้าทั้งสองชนิดนี้เป็นสิ่งที่แทบทุกคนต้องมีติดบ้านไว้เสมอ ซึ่งเจ้าของคือ บริษัท ศิริบัญชา จำกัด ทำธุรกิจนี้มานานกว่า 60 ปี โดยแพทย์กมล ลิขนจุล เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจ จนเมื่อปี พ.ศ. 2526 กลุ่มของ ภ.ก. บุญฤทธิ์ กิจเจริญโรจน์ ได้เข้ามาซื้อกิจการต่อ และทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตให้มีความทันสมัยมากขึ้น พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยาต่างๆ ของบริษัท ให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงวางกลยุทธ์ทางธุรกิจจำหน่ายทางโมเดิร์นเทรด ร้านขายยาและทางออนไลน์ โดยขยายไปยัง Market Place ต่างชาติอย่าง Amazon และ Alibaba.com ทำให้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา บริษัทศิริบัญชามีรายได้ต่อปีในระดับร้อยล้านมาตลอด และแม้ฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์จะเป็นคนต่างจังหวัด แต่ทางศิริบัญชาก็ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงกลุ่มคนเมืองมากและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนแพคเกจของแอลกอฮอล์ให้เป็นขวดสเปร์ย พกพาง่าย ใช้งานสะดวก จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้ศิริบัญชาเติบโตและครองตลาดมาได้นานถึงกว่า 60ปีก็คือ การยึดมั่นใน Positioning ของแบรนด์ รู้ว่าจุดแข็งคือ สินค้าที่มีภาพลักษณ์ชัดเจนในการใช้งาน จึงเลือกที่จะไปพัฒนาในเรื่องของมาตรฐานสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นแทน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจ ที่แม้ไม่ดังเปรี้ยงปร้างแต่ก็สร้างรายได้ระดับร้อยล้านต่อปีได้เช่นกัน
‘อุทัยทิพย์ จากน้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ กลายเป็นทิ้นต์ทาแก้มปากสำหรับวัยใสยอดขายร้อยล้าน!
หลายคนคงจำได้ดีถึงปรากฏการณ์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว กับเทรนด์ฮิตของสาวๆ วัยใส ที่ใช้น้ำยาอุทัยทิพย์มาแต้มแก้มทาปากให้ได้ลุคสวยใสสไตล์ญี่ปุ่น เปลี่ยนให้น้ำยาอุทัยอายุนับร้อยปีที่ใช้สำหรับผสมน้ำดื่มกินหอมเย็นชื่นใจ กลายมาเป็นเครื่องสำอางแบรนด์ UTIP ขวัญใจสาวๆ วัยใสกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง มาดูกลยุทธ์ทางธุรกิจของสินค้าในตำนานตัวนี้กัน
“อุทัยทิพย์” ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2445 เป็นผู้บุกเบิกตลาดรายแรกภายใต้ชื่อ “ยาอุทัย” ผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัท โอสถสภา จำกัด เป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรแผนโบราณที่เชื่อกันว่าผลิตขึ้นตามตำราแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ขนานที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สกัดมาจากสมุนไพรและเกสรดอกไม้ 32 ชนิด มีสรรพคุณในการบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ร้อน ในกระหายน้ำ โดยสีแดงเรื่อของยาอุทัยนั้นเป็นสีแดงธรรมชาติที่สกัดจากไม้ฝาง ใช้หยดลงในน้ำดื่มเพื่อให้ความหอมเย็นและสดชื่น
จนเมื่อปี 2541 เกิดกระแสการแต่งหน้าสไตล์ญี่ปุ่นแนวใสๆ ปากแดงแก้มระเรื่อแบบธรรมชาติ โดยเริ่มฮิตในกลุ่มช่างแต่งหน้าดารา และเมื่อดารานิยมใช้มากขึ้น ก็เกิดเป็นกระแสแฟชั่นการแต่งหน้าโดยใช้น้ำยาอุทัยขึ้นมา สาวๆ วัยใสทั้งนักเรียน นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงานต่างหันมาใช้อุทัยทิพย์ทาปากและแก้ม แทนการใช้ Tint จากแบรนด์ต่างประเทศที่มีราคาแพง ทำให้ทางโอสถสภาได้ฉวยโอกาสทองเร่งทำการตลาดตามน้ำ โดยพัฒาบรรจุภัณฑ์ของตัวเองให้มีขนาดเล็กพกพาง่าย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของอุทัยทิพย์ก้าวกระโดดขึ้นถึง 4 เท่าตัว ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปี และจากกระแสตอบรับที่ดีมาก จึงได้ทำการสร้างแบรนด์ใหม่ในปี พ.ศ.2550 ภายใต้ชื่อ “UTIP” พร้อมเดินกลยุทธ์ธุรกิจบุกตลาดเครื่องสำอางแบบเต็มตัว ทั้งแผนธุรกิจการตลาดแบบออฟไลน์ เช่น จัดประกวดพรีเซ้นเตอร์แบรนด์ทุกปี จนแจ้งเกิดดาราสาวคนดังอย่าง เต้ย-จรินทร์พร เข้าสู่วงการและการตลาดออนไลน์อย่างเฟสบุ๊ค โดยมีกลุ่มเป้าหมายคืออายุ 15-19 ปี ซึ่งหลังเปิดตัวมาได้ 2 ปี ยูทิปและอุทัยทิพย์มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท เติบโตปีละ 20% จากยูทิป 40 % และอุทัยทิพย์ 60%
และถึงแม้ว่าปัจจุบัน UTIP จะดูเงียบหายไป แต่ล่าสุดอุทัยทิพย์ได้ทำคลิปโฆษณาเกาะกระแสออเจ้าฟีเว่อร์ในชื่อ “บิงซูหรือจะสู้ชมพูพริ้ง” มีเบลล่า-ราณีมาเป็นแม่เหล็กใหญ่และเนื้อหาอิงละครบุพเพสันนิวาส ทำให้ยอดวิวตอนนี้เฉียด 6 ล้านวิวเข้าไปแล้ว! สิ่งที่ทำให้อุทัยทิพย์ไม่เคยตายไปจากตลาดคือความชัดเจนของตัวสินค้าที่แทบจะไร้คู่แข่งในแง่ของการเป็นสมุนไพรเพื่อใช้ดื่ม และความกล้าที่จะปรับเปลี่ยนความคิดในวันที่มีโอกาสทองเข้ามา รีบพัฒนาตัวเองพลิกจากแบรนด์สินค้าที่ดูโบราณกลายมาเป็นสินค้าขวัญใจวัยรุ่นได้อย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จได้จนถึงทุกวันนี้
“ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด เราต้องไม่ยึดติดและต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองเสมอ เพราะโลกธุรกิจวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้าทุกอย่างที่เรากำลังขับเคลื่อนอยู่ตอนนี้สำเร็จเรียบร้อย ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น สินค้าเราก็จะโดนใจผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญผมว่าผู้บริโภคจะรู้สึกดีขึ้น เชื่อมั่น และให้ความไว้วางใจในแบรนด์ของโอสถสภา และรู้ว่านี่คือสินค้าสำหรับฉัน” – คุณเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด
Key Take Away
- โลกหมุนเปลี่ยนไปทุกวัน แค่คุณหยุดเดินก็เท่ากับกำลังถอยหลังแล้ว สินค้ายุคเก่าถ้าไม่รู้จักพัฒนาตัวเองก็รอวันหายไปจากตลาด
- รู้จักข้อเด่นและข้อด้อยของสินค้า และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนความคิดให้หลุดออกมาจากกรอบเดิมๆ โดยคงจุดเด่นดั้งเดิมหรือตัวตนของแบรนด์ไว้ ส่วนสิ่งที่ด้อยก็ต้องแก้ไขและพัฒนาตัวเองให้แข่งขันในตลาดได้
- แผนธุรกิจต้องมองเรื่องการตลาดและการทำโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญ สินค้าดีแค่ไหน ถ้าไม่สามารถส่ง message ไปถึงผู้บริโภคให้รู้จักเราได้ ยอดขายก็ไม่เกิด
- สินค้าบางชนิดอาจไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ตัวตนที่ชัดเจนของสินค้าทำให้แบรนด์เกิดการจดจำและสร้างยอดขายในระดับร้อยล้านต่อปีได้เช่นกัน
- สินค้าแบรนด์ไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมในต่างประเทศ เพราะคุณภาพของสินค้าที่ดีเยี่ยม ปั้นแบรนด์ให้ดังแล้วเพิ่มช่องทางขายไปยังตลาดต่างประเทศ