ในอดีต ชาวโลกเคยมีบทเรียนสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคร้ายมาแล้ว ว่า จำนวนผู้คนที่เสียชีวิตจากไข้หวัดสเปนที่มากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลกนั้น ส่วนใหญ่ป่วยและเสียชีวิตในช่วงการระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นหลังการผ่อนคลาย มิใช่ระลอกแรกที่คนหวาดกลัวและป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ 

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศใหญ่ ๆ ยังมียอดผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเรา เริ่มคลี่คลายและกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตัวเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม จึงให้ความร่วมมือกับมาตรการป้องกันต่าง ๆ เป็นอย่างดี

แต่นั่นมิใช่หนทางเดียวที่จะช่วยให้เรามีชีวิตรอดปลอดภัยจากสถานการณ์แพร่ระบาด เพราะเราต้องไม่ระวังแต่เรื่องโควิดเพียงอย่างเดียว เราต้องมองให้ไกลและเตรียมการให้พร้อมกับชีวิตในวันข้างหน้า วันที่อาจมีวัคซีนป้องกันโควิด มียาต้านไวรัสโควิด แต่ดันเป็นวันที่เราไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินออม ไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ ที่จะใช้ดำรงชีวิตให้ปลอดภัยมั่นคง

“เริ่มเร็ว รู้ก่อน ยังมีโอกาสรอด”

ไม่ว่าจะมีโควิดอีกหรือไม่ก็ตาม เราต้องเริ่มวางแผนการใช้เงิน เพื่อให้ชีวิตในวันนี้และในอนาคตมีความมั่นคง เพราะเราได้เห็นกันแล้วว่า ผลกระทบต่อชีวิตคนที่ถูกเลิกจ้างงาน ถูกให้ออกจากงาน หรือมีงานมีกิจการแต่ไม่สามารถเปิดร้านหรือดำเนินกิจการได้ตามปกติ มันลำบากยากเย็นขนาดไหน ลำพังเงินช่วยเหลือจากรัฐก็ใช้ได้เพียงชั่วคราว

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องตัดสินใจลงมือแบ่งค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ในชีวิต เริ่มจากสิ่งที่จำเป็น 2–3 กลุ่ม คือ

1. ค่าใช้จ่ายกับภาระในอดีต (หนี้สิน) ซึ่งช่วงนี้ สามารถขอความช่วยเหลือจากธนาคารเจ้าหนี้ไปก่อน

2. ค่าใช้จ่ายกับภาระในปัจจุบัน โดยเน้นไปกับสิ่งที่จำเป็น ลดทอนหรือเลิกสิ่งที่ฟุ่มเฟือยทันที

3. ค่าใช้จ่ายกับภาระในอนาคต ทั้งในแง่ของการเก็บออมและลงทุนตามกำลัง เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคตและความมั่นคงของชีวิต ในช่วงที่โควิดกลับมาอีกหลายระลอก

แม้ว่าหลายคนอาจจะสามารถวางแผนได้เฉพาะข้อ 1 หรือข้อ 2 แต่สำหรับผู้ที่ยังพอมีโอกาสวางแผนเผื่อในข้อ 3 แต่ยังไม่รู้จะเริ่มทางใด  เราขอแนะนำการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ซึ่งเปรียบเสมือนการออมเงินของเราไว้ใช้ในอนาคต โดยมีมืออาชีพจากบริษัทจัดการกองทุนที่นำเงินของเราไปลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ โดยที่เราจะได้ทั้งกำไรเป็นผลตอบแทนที่แน่นอน และเงินต้นที่เรานำไปเก็บออม

หากเราตัดสินใจลงทุนได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ผลตอบแทนของการลงทุนจะยิ่งมากขึ้น และทำให้เราไม่ลำบากหากจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ในอนาคต ปัจจุบันมีบริษัทจัดการกองทุนจำนวนมากที่เปิดโอกาสให้เริ่มต้นการลงทุนด้วยเงินเพียง 500-1,000 บาท หากมีวินัย  ทยอยซื้อหน่วยลงทุน  ก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้เช่นเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่ได้เช่นกัน

วันนี้ ขอนำข้อมูลบางส่วนสำหรับผู้สนใจการออมเงิน จากทาง บลจ.กรุงไทย หรือ KTAM ได้แนะนำกองทุน “มั่งมีศรีสุข”  ซึ่งเน้นการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก เป็นการลงทุนแบบ Fund of Funds ที่อยู่ภายใต้การบริหารและจัดการของบริษัท และจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน แบ่งเป็น 4 กองทุนต่าง ๆ ได้แก่

1. กองทุนเปิดกรุงไทยมั่งคั่ง (KTMUNG)  เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจและยอมรับในความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ ในระยะยาวได้ เน้นการลงทุนในตราสารทุน 75% ตราสารหนี้ 15% ตราสารทางเลือก 10%

2. กองทุนเปิดกรุงไทยมีทรัพย์ (KTMEE) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ตั้งแต่ปานกลางถึงสูง โดยลงทุนในตราสารทุน 50% ตราสารหนี้ 40% ตราสารทางเลือก 10%

3. กองทุนเปิดกรุงไทยศรีสิริ (KTSRI) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อยากได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยลงทุนในตราสารทุน 65% ตราสารหนี้ 25% ตราสารทางเลือก 10%

4. กองทุนเปิดกรุงไทยสุขใจ (KTSUK) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสมํ่าเสมอ และมีความผันผวนน้อย โดยลงทุนในตราสารทุน 80% ตราสารหนี้ 10% ตราสารทางเลือก 10%

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในผู้ออกตราสาร เป็นต้น รวมทั้งต้องศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนที่ธนาคารกรุงไทย ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย โทร 0 2686 6100 กด 9

 

Category:

Passion in this story