ภาคการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในรายได้หลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยข้อมูลจาก Knoema ระบุว่าในปี 2561 ประเทศไทยมีสัดส่วนการท่องเที่ยวต่อ GDP มากถึง 21.6% ทั้งนี้จากตัวเลขการท่องเที่ยวในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 40 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศถึง 1.9 ล้านล้านบาท แต่จากการระบาดของโควิด-19 ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงว่า ตัวเลขเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยวหดตัวลงเกือบ 100% ในเดือนเมษายน และจากการประมาณการโดย KKP Research จำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยจะลดลงถึง 77% จากตัวเลขในปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าการท่องเที่ยวในรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” จะได้รับความสนใจมากขึ้น
ในปี 2016 ผู้คนทั่วโลกกว่า 14 ล้านคน ใช้เงินไปกว่า 68,000 ล้านเหรียญในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (medical tourism) เช่น การศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงามและทันตแพทย์ เป็นต้น และกว่า 490,000 ล้านเหรียญในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (wellness tourism) เช่น การนวด สปา และบริการสุขภาพอื่น ๆ เป็นต้น
เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย รัฐบาลได้ผลักดันนโยบาย Medical Hub โดยใช้ศักยภาพทางการแพทย์ของไทยเป็นจุดขาย ทั้งนี้ Johns Hopkins Centre for Health Security ได้จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางสาธารณสุข เป็นอันดับที่ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
จากข้อมูลการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (health tourism) ของไทยติดอันดับ 13 ของโลก สามารถสร้างรายได้มากกว่า 9,400 ล้านเหรียญ ขณะที่ The International Healthcare Research Center (IHRC) ระบุว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยติดอันดับ 6 ของโลก โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ร้อยละ 38 ของจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด และตลาดมีแนวโน้มเติบโตราวร้อยละ 14 ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดการท่องเที่ยวในไทยเอง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 4 รองจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทั้งนี้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คิดเป็นประมาณร้อยละ 15.6 ของรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวม
เมื่อดูจากตัวเลขแนวโน้มการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความได้เปรียบด้วยต้นทุนที่ดี ทั้งในแง่ของการบริการด้านสุขภาพ บริการ ค่าใช้จ่าย ภูมิปัญญาท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาครัฐจะผลักดันนโยบาย Medical Hub และตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของโลก ติดอันดับ 1 ใน 10 ของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ซบเซาลง
ปัจจัยสำคัญมาก ๆ อย่างหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ไทยกลายเป็น Medical Hub หรือยกระดับให้ไทยกลายเป็น Medical & Wellness Resort of the World คือ การทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในคุณภาพที่ได้รับจากการบริการ เพราะคงไม่ง่ายเลยกับการตัดสินใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อเข้าคอร์สส่งเสริมสุขภาพตัวเองหรือให้แพทย์ผ่าตัดศัลยกรรม แม้ว่าราคาจะถูกกว่าที่อื่นก็ตาม
โครงการหนึ่งที่มีศักยภาพและสามารถมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลสุขภาพได้แน่ ๆ แถมยังช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพของไทยสู่ระดับโลก อย่างโครงการ รักษ (รัก-ษะ) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม (fully integrated wellness and medical retreat)
รักษ เพื่อการรักษา
รักษ (รัก-ษะ) คือ ประสบการณ์ทางเลือกใหม่ในการดูแลสุขภาพที่ผสมผสานศาสตร์การแพทย์แบบตะวันออกเข้ากับวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่แบบตะวันตก เพื่อสุขภาพที่ดีและประสบการณ์แบบใหม่ให้กับผู้เข้าบริการ และสอดรับกับเทรนด์การใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นของคนในยุคนี้
รักษ เกิดจากความร่วมมือของ 3 บริษัทชั้นนำในด้านต่าง ๆ ได้แก่ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน), ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (VitalLife) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ร่วมกันผลักดันให้โครงการ รักษ ก้าวไปสู่การเป็น World-Class Medical Wellness Destination
รักษ มีการออกแบบแผนการดูแลสุขภาพโดยเริ่มจากการเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการแพทย์เพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการของแต่ละบุคคล จากนั้นมีการวิเคราะห์ DNA อย่างละเอียด ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายใต้การดูแลโดยทีมแพทย์และนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักและทำความเข้าใจภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่ของตัวเองมากขึ้น และเพื่อใช้ผลการตรวจนี้ออกแบบทรีทเม้นต์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลโดยมีโปรแกรมให้เลือก 10 แบบ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพที่หลากหลาย ทั้งดูแลสุขภาวะทางเดินอาหาร (Gut Health) การเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunity Booster) การดูแลควบคุมน้ำหนัก (Weight Management) หรือการผ่อนคลายความเครียด (De-Stress)
พร้อมสัมผัสประสบการณ์การดูแลสุขภาพด้วยศูนย์ออกกำลังกายเชิงการแพทย์ ที่เป็นมากกว่าฟิตเนสทั่วไป ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงโซนธาราบำบัด รองรับการเพิ่มศักยภาพทางด้านร่างกายตลอดจนการฟื้นฟูสำหรับนักกีฬาตั้งแต่ระดับโอลิมปิกจนถึงบุคคลทั่วไป มีการดูแลโภชนาการอาหารโดยให้บริการอาหารต้านการอักเสบภายใต้คำแนะนำจากนักโภชนาการ นอกจากนี้ยังมีเวิร์กช็อปและกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้อีกมากมาย
รักษ ตั้งอยู่ในย่านบางกระเจ้า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนพื้นที่สีเขียวท่ามกลางทะเลสาบและสวนพฤกษศาสตร์อันเขียวชอุ่ม ด้วยความเงียบสงบและมนต์เสน่ห์ของบางกระเจ้า ทำให้ รักษ เหมาะอย่างยิ่งกับการดูแลสุขภาพทั้งกาย ใจ อารมณ์ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ด้วยทำเลที่ตั้งของบางกระเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ จึงสามารถเดินทางไปได้ทั้งทางเรือและรถยนต์ ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเพียง 1 ชั่วโมง แต่ให้ความรู้สึกห่างไกลจากความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ด้วยบรรยากาศที่สงบและแวเล้อมด้วยอากาศอันบริสุทธิ์
นอกจากนี้ที่ รักษ ยังมีส่วนต่าง ๆ ที่คอยให้บริการดูแลสุขภาพ อาทิ
VitalLife’s Scientific Wellness Clinic
VitalLife’s Scientific Wellness Clinic ในโครงการ รักษ มอบการดูแลสุขภาพผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เข้าใจสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริงและทราบถึงจุดที่ควรปรับปรุง โดยใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือ ไมโครนิวเทรียนท์ ไปจนถึงการตรวจโอกาสการเกิดมะเร็ง ข้อมูลที่ได้นี้จะนำไปรวบรวมเพื่อให้แพทย์ ผู้ดูแล เทรนเนอร์ นักกายภาพบำบัด และนักโภชนาการ ออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพได้อย่างตรงจุด เพื่อป้องกันโรค ชะลอวัย ช่วยเรื่องการนอนหลับ พัฒนาศักยภาพของร่างกาย และดูแลระบบการย่อยและระบบสมอง รวมทั้งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ไอวี นิวเทรียนท์ ไครโออินฟราเรดซาวน่า การบำบัดด้วยแสง และพลาสมาเธอราพี
RAKxa Jai – Holistic Wellness Centre
ที่ รักษ แพทย์ของ VitalLife จะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งการบำบัดสาขาต่าง ๆ และใช้ ทรีทเมนต์ที่ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ผสมผสานศาสตร์แห่งการบำบัดหลากหลายแขนง ทั้งการแพทย์แผนจีน การแพทย์แผนไทย อายุรเวท และการใช้พลังบำบัด หรือ Energy Heaing เพื่อการดูแลสุขภาพในแบบที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ RAKxa Jai ยังมีสปาที่มาพร้อมกับวิวทะเลสาบ และประกอบไปด้วยห้องทรีทเม้นต์ เพื่อให้บริการการนวดด้านต่าง ๆ การทำทรีทเมนต์ และการบำบัดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ในโซนธาราบำบัด เช่น ห้องอบไอน้ำสมุนไพรที่ใช้สมุนไพรที่เก็บสด ๆ จาก สวนออแกนิกรอบ ๆ รักษ ห้องซาวน่าอินฟราเรด ไอซ์มูนชาวเวอร์ สระน้ำอุ่น และบ่อเย็น 14 องศา
RAKxa Gaya – Medical Gym
Medical Gym (ศูนย์ออกกำลังกายเชิงการแพทย์) มีทั้งนักกายภาพบำบัด นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อวิเคราะห์ร่างกายของลูกค้าแต่ละคน ด้วยอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งถูกใช้ในวงการนักกีฬามืออาชีพระดับโอลิมปิคทั่วโลก โดยทีมงานจะใช้เทคโนโลยีนี้ประกอบกับศาสตร์แห่งการแพทย์และวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่อยู่บนพื้นฐานของการแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายและฝึกกล้ามเนื้อและประสาท
RAKxa’s Wellness Cuisine
RAKxa’s Wellness Cuisine (รักษ เวลเนสคูซีน) ใช้ปรัชญาการปรุงอาหารที่ช่วยต้านการอักเสบที่ออกแบบโดยเชฟและนักโภชนาการจากไวทัลไลฟ์ โดยใช้ส่วนประกอบที่ทราบแหล่งที่มาจากท้องถิ่น เป็นส่วนประกอบตามฤดูกาล และมีความยั่งยืน โดยเชื่อว่าการที่ระบบย่อยอาหารและสุขภาพของเราจะดีขึ้นได้ จากอาหารที่ปลอดสารพิษที่เป็นอันตรายและสิ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบ
ห้องอาหาร
รักษ มีห้องอาหารให้บริการจำนวน 2 ห้อง ได้แก่ ห้องอาหาร อู่น้ำ (Unam), อู่ข้าว (Ukhao) โดยชื่อสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของอาหารการกิน ดังนั้นห้องอาหารจะเสิร์ฟ อาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติอร่อยและมีนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ทั้งอร่อยและสนุกสนาน โดยอาหารที่เสิร์ฟนั้นจะเป็นไปตามโปรแกรมของลูกค้าแต่ละคน
กิจกรรม
การทำกิจกรรมนั้นเป็นการบำบัดวิธีหนึ่ง และนี่คือปรัชญาของประสบการณ์ที่ รักษ ซึ่งมีกิจกรรมให้เลือกหลากหลาย และทุกกิจกรรมออกแบบมาเพื่อการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเดินพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติหรือคลาสเต้นแสนสนุก และยังมีคลาสทำอาหารที่นำโดยหัวหน้าเชฟ พร้อมด้วยสวนพฤกษศาสตร์ของ รักษ ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและสร้างความผ่อนคลาย
วิลล่าส่วนตัว
วิลล่าส่วนตัวที่ รักษ (รัก-ษะ) บริหารโดยเครือ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทลส์ ออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนและใช้เวลากับตนเอง พื้นที่ตกแต่งด้วยสีเอิร์ธโทน ประดับด้วยเครื่องตกแต่งจาก จิม ทอมป์สัน และงานฝีมือต่าง ๆที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชุมชนรอบ ๆ ในช่วงแรกของการเปิดให้บริการจะมีวิลล่าให้บริการ 27 หลัง พื้นที่ 80 ตารางเมตร ทุกหลังมีพื้นที่สีเขียวส่วนตัวที่แวดล้อมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด
ที่ รักษ ไม่เพียงแต่จะพร้อมปกป้องและดูแลสุขภาพอย่างมีคุณภาพให้กับลูกค้าทุกคนเท่านั้น แต่ยังคงดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศน์ของบางกระเจ้าที่เริ่มเสื่อมโทรมอีกด้วย มีการปลูกต้นเพิ่มเติมหลายพันต้น ฟื้นฟูคุณภาพดิน เก็บขยะทั้งบนบกและในแม่น้ำร่วมกับชาวบ้าน รวมไปถึงสนับสนุนด้านการเกษตรแก่ชุมชนโดยรอบ แนวคิดการดูแลของ รักษ เป็นมากกว่าการทำธุรกิจแต่ยังเป็นการปกป้องและดูแลชุมชนบางกระเจ้าไปพร้อม ๆ กัน
รักษ จะเป็น Medical & Wellness Retreat แห่งแรกในเมืองไทยและเอเชีย ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (health tourism) ของประเทศไทย และสนับสนุนให้ไทยกลายเป็น World-Class Medical & Wellness Destination ของคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2563
Category: