Categories: SUPPORT

“ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” แพลตฟอร์มที่จะช่วยแก้วิกฤตขาดแคลนเวชภัณฑ์

5 / 5 ( 1 vote )

เมื่อพูดถึงโรงพยาบาล ทุกคนคงคิดถึงสถานที่รักษาโรค บุคลากรทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ  แต่คงไม่ค่อยมีใครนึกถึงภาพที่โรงพยาบาลขาดแคลนสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน ในการรักษาพยาบาลอย่างยาและเวชภัณฑ์แน่ ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรงพยาบาลไทยกำลังประสบกับวิกฤตขาดแคลนเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของระบบการจัดการเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาล ทำให้เห็นถึงผลกระทบของปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์

เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และการบริหารสินค้าคงคลังที่ขาดสมดุล กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผนึกความร่วมมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย ดิสทริบิวชั่น จำกัด สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงได้ร่วมกันเปิดตัว นวัตกรรมแพลตฟอร์ม “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” (Smart Medical Supply Platform 2020) ทำให้สามารถบริหารการจัดซื้อ-รับ-กระจายเวชภัณฑ์ และโลจิสติกส์ขนส่งอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการบริจาคอัจฉริยะ (Smart Donation) และระบบจัดซื้อกลาง โดยนำมาใช้แล้วในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 2,641 แห่ง

“ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” ถือเป็นระบบกลางของประเทศครั้งแรก ที่จะช่วยจัดการสินค้าคงคลังเชื่อมโยงครบวงจรตั้งแต่จับคู่ข้อมูลความต้องการ (Demand) กับการจัดซื้อและการผลิต (Supplies) ที่มีประสิทธิภาพ การขนส่งและกระจายเวชภัณฑ์ที่ใช้ตรงกับสต๊อกและทั่วถึง

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ตระหนักว่าต้องจัดเตรียมเวชภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพรองรับการระบาดและภาวะฉุกเฉินอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาที่สำคัญทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยงานวิจัยต้องใช้ประโยชน์ได้จริงรวมทั้งเป็นงานวิจัยที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ซึ่งโครงการ “ระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์เวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพื่อรองรับสถานการณ์ COVID-19” ของมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ วช. เห็นควรสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาในสถาการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เกิดความสมดุลและเป็นไปตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งจะนำระบบไปใช้บริหารจัดการในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันและเตรียมความพร้อมสำหรับสถาการณ์ในอนาคต

รศ.ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในประเทศไทยมีโรงพยาบาลรวม 2,641 แห่ง แบ่งเป็น รพ.รัฐ 2,253 แห่ง และ รพ. เอกชน 388 แห่ง หลักการทำงานของ “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” จะเริ่มจากการรับข้อมูลรายการสินค้า (Supply) ที่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางหรือของบริจาคเข้ามาหน้าเว็บไซด์ ตามรายการสินค้าในระบบฐานข้อมูล (Product Catalogue Database) การจัดสรรมีหลักการพิจารณาจากความต้องการเร่งด่วนและปัจจัยต่างๆ ของการระบาด และสถานการณ์โรงพยาบาลเอง ซึ่งจะสร้างความมั่นใจได้ว่าการจัดสรรจากงบส่วนกลางหรือของบริจาคจะไปสู่โรงพยาบาลที่ขาดแคลนและตรงกับความต้องการตามสถานการณ์จริง  ข้อมูลจะไหลเข้าระบบสต๊อก หรือสินค้าคงคลังเสมือน (Virtual Stock) ระบบจะวิเคราะห์และจัดสรรสต๊อก กับความต้องการของฝั่งโรงพยาบาล (Order Management) ความต้องการของโรงพยาบาลในระบบนี้ มาจากข้อมูลที่โรงพยาบาลกรอกเข้าระบบกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นนำมาผ่าน Algorithm ในการจับคู่ Match โดยพิจารณาถึงจำนวนผู้ป่วย จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ ปริมาณที่มีอยู่ และอัตราการใช้ ระดับความรุนแรง เป็นต้น จากนั้นเมื่อประมวลผลเสร็จสิ้น จะทำให้ได้ใบรายการที่ต้องจัดสรรทั้งหมด ว่าต้องจัดสรรอะไร กระจายไปที่ใด จำนวนเท่าไร และส่งไประบบขนส่งแล้วกระจายต่อไป

นายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทรีบิวชั่น จำกัด กล่าวว่า ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังระบบติดตามการจัดส่ง (Tracking) โดยเชื่อมกับระบบบริหารจัดการของบริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด โดยไปรษณีย์ ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศจะเป็นผู้ไปรับสินค้าตามสถานที่ที่ระบุในใบงานและขนส่งไปยังโรงพยาบาลเป้าหมาย และเมื่อเวชภัณฑ์ได้กระจายไปถึงโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ระบบจะบันทึกและส่งข้อมูล Feedback ให้กับต้นทางกระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามสถานะการขนส่งผ่านระบบได้อีกด้วย โดย Platform ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องโรงพยาบาลได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามความต้องการ หรือแม้กระทั่งการกระจุกตัวของสินค้า และระบบยังช่วยทำให้สินค้าไม่ต้องขนส่งเข้ามาที่ส่วนกลางเพื่อบริหารจัดการการขนส่งและกระจายสินค้าอีกครั้ง ส่งผลให้สินค้าสามารถไปถึงโรงพยาบาลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ผู้บริจาคหรือหน่วยงานส่วนกลางและโรงพยาบาลยังสามารถตรวจสอบได้ว่าในระบบมีสินค้าอะไร กำลังกระจายไปที่ไหน และคงเหลืออีกเท่าไหร่ เพื่อให้สินค้าสามารถไปถึงโรงพยาบาลที่มีความต้องการตามคุณภาพและความต้องการจริงอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ข้อมูลจะมีการเชื่อมโยงประมวลผล เพื่อแสดงสถานการณ์ของประเทศได้ รวมถึงช่วยในการวางแผนการผลิตและจัดซื้อในอนาคตได้

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวสรุปถึงประโยชน์ของ “ระบบบริหารจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” ทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลกลางด้านสาธารณสุขของประเทศสำหรับสินค้าเวชภัณฑ์ (Product Catalogue Database) สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และตอบโต้สถานการณ์โรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การใช้เวชภัณฑ์, จำนวนสต๊อกของเวชภัณฑ์ในประเทศไทย รวมไปถึงการคาดคะเนปริมาณความต้องการในการใช้เวชภัณฑ์ในอนาคตได้ ด้านกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานภาครัฐสามารถประหยัดต้นทุนด้านสาธารณสุข สร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการการกระจายเวชภัณฑ์ด้วยระบบ Matching บนสถานการณ์และข้อมูลที่แท้จริง สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศ จะได้รับสินค้าตรงตามต้องการจริงในเวลาที่รวดเร็ว ลดภาระต้นทุนในการมีสต๊อกเวชภัณฑ์ที่ขาดหรือเกินความต้องการ ด้านผู้จัดหาผลิตภัณฑ์สามารถวางแผนบริหารจัดการการผลิตเวชภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องขนส่งสินค้าเข้ามาที่ส่วนกลาง สามารถกระจายสินค้าไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการโดยตรงได้ทันที ส่วนผู้บริจาคสามารถบริจาคเวชภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของโรงพยาบาลและจำนวนจริง ผ่านทางการตรวจสอบข้อมูลในระบบ สามารถตรวจสอบและติดตามการกระจายสินค้าที่บริจาคไปยังโรงพยาบาลที่มีความต้องการจริงได้

อภินัทธ์ เชงสันติสุข

เด็กหนุ่มที่กำลังเรียนรู้ชีวิตและถูกเฆี่ยนตีด้วยความเป็นผู้ใหญ่

Recent Posts

Young SME หลักสูตรสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ชู Soft Power เสริมสร้างธุรกิจยั่งยืน

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดหลักสูตร “Young SME” สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เน้นเชื่อมโยง Soft Power เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการ หลักสูตร Young…

6 months ago

Driving People’s Actions แนวคิดธุรกิจยุคใหม่ กับ มุมมองด้านความยั่งยืน

บุรินทร์เจอนี่ พาไปรู้จักกับแนวคิด Driving People’s Actions ของบริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส จำกัด และการรูปแบบการทำงานในองค์กรที่สอดแทรกความยั่งยืนเข้าไปในทุก ๆ กิจกรรมรอบตัว โดยคุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร…

9 months ago

อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล “ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี” จากงาน DG Awards 2023

อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล "ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี" พร้อมอีก 2 รางวัล จากงาน DG Awards 2023 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ดร.…

10 months ago

Driving People’s Actions แนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์แบรนด์ สไตล์ ฮาคูโฮโด เฟิร์ส

ฮาคูโฮโด เฟิร์ส ฉลองความสำเร็จครบรอบ 20 ปี เผยกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจจากประสบการณ์และ ความสำเร็จที่เน้นแนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์ของแบรนด์ ด้วยการสร้างพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงโจทย์ Driving People’s Actions คุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท…

10 months ago

พิธีปิดการอบรมหลักสูตร SML รุ่นที่ 4 ปี2566

พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในพระบรมราชูปถัมภ์ รุ่นที่ 4 แก่ผู้สำเร็จการอบรม 241 คน 27 มิถุนายน 2566, กรุงเทพ:…

1 year ago

เมื่อสูงวัยต้องไปทำฟัน

ห่างหายไปนานสำหรับคอลัมน์ HiGen by Je Supaluck การกลับมาครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง "ผู้สูงวัย" น่าจะนับได้จากผู้มีอายุ 50 ขึ้นไป (วัยกลางคน) นั่นล่ะคือคนที่เริ่มเข้าสู่คนยุคสูงวัย (HiGen) โดยแท้ ไม่เว้นว่าเป็นหญิงหรือชายนับแต่คริสต์ศักราช…

1 year ago

This website uses cookies.