ท๊อป จิรายุส Bitkub / คนส่วนใหญ่รู้จัก Bitkub ว่าเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Bitkub เป็นซีอีโออายุน้อยที่น่าอิจฉาที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า หนทางที่ท๊อปก้าวเดินมานั้นทั้งยากลำบากและขรุขระกว่าที่จะก้าวมาถึงจุดนี้

 

กว่าจะมาเป็นวันนี้ของ ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Bitkub ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่อายุน้อยแต่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน และเป็นแบบอย่างความวสำเร็จให้กับใครอีกหลายคนที่มุ่งมั่นก้าวหน้าสู่ความสำเร็จ

 

รู้หรือไม่…กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ท๊อป-จิรายุส ได้ก้าวผ่านจุดที่ยากที่สุดมาหลายต่อหลายครั้ง และบางครั้งต้องยากลำบากอย่างแสนสาหัส กว่าจะก้าวผ่านมาได้  ในตอนจบของบทสัมภาษณ์ ท๊อป-จิรายุส Passion Gen จึง “เผยเบื้องลึกความสำเร็จ Bitkub ของท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่กำลังก้าวขึ้นเป็น Billionaire ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“ท้อนะ แต่ไม่ถอย ผมมีความเชื่อมาก ๆ ในสิ่งที่ทำ อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนส่วนใหญ่ผิด และผมเป็นคนส่วนน้อยที่ถูก”

ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา CEO BitKub

 

 

ตอนเด็กเกเรมาก เป็นมาอย่างไรถึงเป็นท๊อป จิรายุสในวันนี้ 

ใช่ครับตอนเด็กผมเกเรมากครับ ตั้งแต่ชั้นประถม วัน ๆ เอาแต่แกล้งเพื่อน เรียกว่าเป็นหัวหน้าแก๊งเลย จน ป.5-ป.6 นี่หนักสุดทำเพื่อนแขกหักเลย จนอาจารย์ใหญ่เรียกตัว เกือบจะโดนไล่ออกจากโรงเรียนอยู่แล้ว…นั่นเป็นวันที่ได้เห็นคุณแม่ร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นก็นึกเสียใจว่า ทำไมเราเป็นเด็กแบบนี้ ช็อกกับตัวเองว่า ทำไมเรากลายเป็นเด็กซ่าขนาดนี้ ไม่รู้สึกตัว

 

จากนั้นคุณแม่จึงส่งผมไปเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ ตอนไปก็ยังคิดไม่เป็น ไปถึงก็อยากเป็นนักฟุตบอล วัน ๆ เอาแต่ซ้อมกีฬา ไม่สนใจเรียน ไม่สนใจเกรด ไม่สนใจทำการบ้าน ไม่สนใจสอบ ช่วงที่เรียนก็พูดได้แค่ Yes, No, Maybe แล้วก็ไปกับน้องชาย แต่ก็โชคดีอย่างที่ผมชอบทำกิจกรรมก็เลยเข้ากับเพื่อนฝรั่งได้ ก็ฝึกภาษาไปในตัว จบมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นเมื่อจบชั้นมัธยมปลาย เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วพบว่าไม่มีที่เรียน ไม่มีมหาวิทยาลัยที่ไหนรับ…

 

จบมัธยมปลายจากนิวซีแลนด์กลับมาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยไม่ได้…ตอนนั้นเกิดความรู้สึกผิด...เกิดเป็นปมในใจขึ้นมาว่า ทำไมเราแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นเด็กที่ไม่มีที่เรียน เข้ามหาวิทยาลัยในไทยไม่ได้ คิดแล้วก็ดูถูกตัวเอง เทียบเกรดก็สู้ไม่ได้ ไปสอบแข่งยิ่งไม่ไหวใหญ่เลย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจเรียนผลการเรียนอ่อนมาก

 

 

วันหนึ่ง ผมนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ เหม่อมองออกไปเห็นคนใส่ชุดนักศึกษา…แล้วนึกในใจว่า “ชาตินี้เราคงไม่มีโอกาสใส่ชุดนักศึกษาเหมือนคนอื่น” รู้สึกผิดหวังในตัวเองมากแต่ไม่รู้จะแก้อย่างไรเพราะเรื่องราวได้ผ่านพ้นไปแล้ว จะย้อนกลับไปแก้ไขก็คงไม่ได้ ได้แต่นึกเสียใจว่า เราทำอะไรอยู่ที่ผ่านมา”

 

 

เลือกเรียนมหาวิทยาลัยอย่างไร

ผมชอบเล่นฟุตบอล พอไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนจึงลองไปดูที่เรียนที่ประเทศอังกฤษ ว่ามีมหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครหรือไม่ ก็โชคดีมากเพราะมหาวิทยาลัยที่อังกฤษเปิดเรียนเดือนกันยายน จึงมีโอกาสเลือกเรียน

 

ตอนนั้นอังกฤษใช้ระบบ U Class คือเลือกได้ 5 มหาวิทยาลัยจากรายชื่อในตาราง  ใจหนึ่งก็อยากเลือกแต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่กล้ากลัวถูกปฏิเสธ จะเลือกระดับล่างก็เป็นมหาวิทยาลัยแบบป่า ๆ ไม่เคยรู้จัก สุดท้ายจึงเลือกที่เรียนตามชื่อทีมสโมสรฟุตบอลที่รู้จัก แมนเชสเตอร์ ลิเวอร์พูล นิวคาสเซิล สุดท้ายดีใจมาก เพราะทีมโปรดรับเข้าเรียน จึงได้เรียนที่  แมนเชสเตอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้

 

“ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง ผมจึงสัญญากับตัวเองว่า จะต้องเปลี่ยนเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน จะแก้ปมที่ใหญ่มากในใจให้ได้”

 

 

เป็นคนที่เรียนเก่งไหม

ไม่เคยเป็นคนที่เรียนเก่งเลย อาจจะเก่งแค่ระดับอนุบาลที่เคยได้ที่ 2 แต่นั่นก็อนุบาลจำไม่ได้แล้ว  เป็นเด็กซ่า ทำกิจกรรม เตะฟุตบอลอย่างเดียว แกล้งเพื่อน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยด้วยความที่อยากเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ต้องการแก้ไขปมในใจ ไม่อยากจะเป็นคนที่ล้มเหลว อายุ 70-80 ปีแล้วมองกลับมาแล้วเสียใจทีหลัง วันนี้เหมือนได้เกิดใหม่ มหาวิทยาลัยรับแล้ว มีที่เรียนกับเขาแล้ว

 

พอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 เปิดเรียนวันแรกก็เข้าห้องสมุด เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าห้องสมุดหน้าตาเป็นอย่างไร เข้าไปก็พยายามอ่านหนังสือทบทวน ตอนแรกก็ไม่ชินเท่าไร อ่านอย่างไร ทบทวนอย่างไร เรียนเสร็จกลับมาเข้าห้องสมุด ก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะเราเป็นเด็กกิจกรรม ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดไม่เคยอยู่นิ่ง  พอต้องบังคับให้นั่งวันละ 10-12 ชั่วโมง เป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก สำหรับคนที่ไม่เคยอยู่นิ่ง แต่เราก็สัญญากับตัวเองแล้วว่าเราจะต้องตั้งใจเรียนขึ้นมา

 

จำได้ว่าตอนนั้นตั้งใจมาก ยอมที่จะเสียสละทุกอย่างที่สำคัญสำหรับเด็กในวัยอายุ 18 ปี ช่วงที่กำลังแตกหนุ่ม อยากมีแฟน อยากไปปาร์ตี้ ชอบฟุตบอลอยู่แมนเชสเตอร์เจอทีมโปรดแต่ตลอด  3 ปีไปดูฟุตบอลแค่ครั้งเดียว เรียกว่าเสียสละทุกอย่างเดินเข้าห้องสมุดทุกวัน อ่านหนังสือ เพื่อนที่มีก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มเด็กเนิร์ดเลย รวมตัวนั่งอ่านหนังสือทุกวัน แม้แต่ในช่วงวัน คริสมาสต์ เพื่อน ๆ จะนั่งรถไฟกลับเมืองไปเจอหน้าพ่อแม่เมืองแทบจะเป็นเมืองผีเมืองร้าง ผมเป็นคนเดียวที่ไม่กลับ ทนเดินฝ่าหิมะทุกวันไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ วันละ 10-12 ชั่วโมงทุกวัน 7 วันต่อสัปดาห์ติดกัน 3 เดือนก่อนสอบ

 

ผมเลือกที่จะเสียสละ เพราะมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราต้องเป็นเด็กที่เรียนดีให้ได้ ตอนสอบช่วงปี 1 เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เกรด 4 ในชีวิต ตอนนั้นช็อก ตกใจ ดีใจมาก ได้คิดว่าถ้าเราพยายามจริงเราก็ทำได้ หัวเราก็รับไหว ปีสองก็อ่านหนังสือหนักขึ้น ปีสามก็ยิ่งอ่านหนักขึ้นอีก สุดท้ายจบมา 3 ปี ก็ได้เกรดนิยมเหรียญทองของเหรียญทองทั้งหมด คือเป็นที่ 1 ของรุ่นได้ประกาศนียบัตรสีม่วง (purple scroll)  คนอื่นถือสีขาวได้ถือสีม่วงอยู่คนเดียว…เพื่อน ๆ ก็ช็อกมาก เรียนมาด้วยกัน คนนี้เหรออันดับ 1 ของรุ่น เราเองถึงเข้าใจว่า แค่เราพยายามมากกว่าคนอื่นก็ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นได้”

 

ความรู้สึกล้มเหลวจากการเรียนครั้งแรกรุนแรงมาก

ตอนที่ไม่มีที่เรียน เหมือนเราดูถูกตัวเองว่าเราเป็นคนที่แย่ เป็นปมในใจ…ไม่รู้ทำไม แล้วตอนที่จะเลือกใส่ใน U Class 5 ที่  มองตารางด้านมหาวิทยาลัยระดับท็อป มองแล้วก็ได้แต่มอง เราอยากจะใส่ใจจะขาด แต่ก็รู้ว่าใส่ไปก็ถูกปฏิเสธอยู่ดี เลยกลายเป็นปมหนักเข้าไปใหญ่ ลึก ๆ แล้วเรามีความทะเยอทะยานอยู่ แต่สายไปแล้วที่จะเลือกมหาวิทยาลัยระดับท็อป อยากจะแก้ไขก็แก้ไม่ได้เพราะเป็นอดีต เลยสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนขึ้น จบมาเลือกเรียนปริญญาโทอ้าแขนรับทุกมหาวิทยาลัย ผมมีความฝันที่อยากเรียนที่ ออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ จึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุด 21 ปี”

 

 

ช่วงเรียนปริญญาโททราบมาว่ายากมาก ให้เรียนใหม่ก็ไม่อยากเรียนอีกแล้ว

“ช่วงเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดหนักมาก เพื่อนในห้องส่วนใหญ่จะเรียนปริญญาโทมา 2 ใบแล้ว หรือไม่ก็เคยทำงานในแบงก์ชาติ RMF ธนาคารโลก แล้วถึงมาเรียนต่อปริญญาโทอีกใบ อายุเฉลี่ยในห้องอยู่ที่ 24-26 ปี ผมจึงเด็กที่สุดในรุ่น เรียนไปก็ทรมานไปเพราะเรียนไม่รู้เรื่อง ในห้องมี 50 คน เป็นคนที่ไม่เคยเป็นที่สองมาก่อน เรียกว่าเป็นที่ 1 ของทั่วโลกมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน หันไปทางขวาเพื่อนชื่อ ชเรค มาจากคาซัคสถานเป็นเด็กเคมีโอลิมปิกเหรียญทองของประเทศ ได้เหรียญทองด้านเคมีแต่เรียนไปแล้วไม่ชอบ จึงหันมาเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยระดับโลกได้ หันไปทางซ้ายเพื่อนอังกฤษไอคิวสูงกว่าเด็กอื่น ๆ เคยออกรายการโทรทัศน์ตั้งแต่เด็ก ต้องแข่งกับคนเก่งระดับนี้ 50 คน ทรมานมาก อ่านหนังสือวันละ 10-12 ชั่วโมงติดต่อกัน 2 ปีไม่ได้พักสักวัน สุดท้ายแล้วจบมาได้ แต่ให้ทำอีกก็คงไม่ทำแล้ว  ตอนเรียนไม่มีเวลาที่จะคิดอะไร ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องจบออกมาให้ได้ ไม่ให้เสียเงินพ่อแม่ฟรี คนอื่นเด็กทุนรัฐบาลหมด เราทุนพ่อแม่คนเดียว เพราะเราเพิ่งเรียนเก่งตอนมหาวิทยาลัย จบออกมาได้ก็เขว ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต”

 

 

เริ่มงานแรก Investment Banking ที่เซี่ยงไฮ้

เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่จบเศรษฐศาสตร์มาก็จะทำ 2 ด้านคือ Investment Banking กับ Consulting เราเลยเลือกไปทำงาน Investment Banking ที่จีน เพราะเราอยู่นิวซีแลนด์มา 5 ปี อังกฤษมา 5 ปี เลยลองไปทำงานที่ประเทศใหม่ ซึ่งตอนนั้นจีนเป็นช่วงที่เขาเปิดประเทศมา 20 ปีพอดีกำลังโตเร็วมาก บริษัทกำลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมเลยไปทำเรื่องการควบรวมกิจการที่เซี่ยงไฮ้เป็น Cross Border M&A คล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง The Wolf of Wall Street ทำ Pink Sheets OCTQB OCTQX (หุ้นบริษัทจำกัดที่เทรดในราคาต่ำ) ทำได้ 2 เดือนก็รู้สึกอึดอัด เรา Out Perform ทุกคน เพราะทำงานหนักจนชิน คนอื่นรู้สึกกดดันมาก เพราะมีเด็กจบออกซฟอร์ดอยู่ในออฟฟิศ ผมเองก็ทำงานติด Manager ก็อึดอัดทำอะไรก็ติดการตัดสินใจของ Manager ไปหมด เลยรู้สึกว่าบริษัทระดับโลกไม่น่าจะเหมาะกับผม

 

ลองงานใหม่เป็น Consulting ก็ไปทำงานเป็น Financial Consulting ที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะจริง ๆ รู้สึกชอบและอยากไปซิลิคอนแวลลีย์แต่ที่ Google, Facebook ไม่มีใครรับเพราะเรียนจบไม่ตรงสายงาน Computer Science แม้จะจบมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพราะแต่ละคนที่ทำงาน Google, Facebook ก็จบสแตนฟอร์ด ฮาร์วาร์ด เช่นกัน

 

งานดีที่สุดที่ตรงสายคือ Financial Consulting ที่ Bank of America ทำงานที่ตึก เมอร์ริล ลินซ์ แต่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ผมจะต้องขับรถไปที่ซิลิคอนแวลลีย์ไปถ่ายรูปกับ Like Button ของ Facebook ไปขี่จักรยาน Google ไป Museum ของ Intel ทำได้แค่ไปดู ก็รู้สึกเป็นปมในใจว่าจะไปทำงานที่ซิลิคอนแวลลีย์เพราะรู้สึกชอบเทคโนโลยี แต่พอทำงานไปสัก 1-2 อาทิตย์ก็รู้แล้วว่างาน Financial Consulting ไม่เหมาะสมกับเรา 

 

ระหว่างทำงานอยู่วันหนึ่งก็ไปพบ Bitcoin ในอินเทอร์เน็ตก็สนใจ ตอนนั้น Bitcoin ราคาพุ่งขึ้นจากเหรียญละ 71 ดอลลาร์ไปถึง 1,150 ดอลลาร์ ก็สนใจ โชคดีที่ไปอ่านเจอบล็อกของ มาร์ค แอนดรีสเซน (Marc Andreessen) ในบทความที่ชื่อ Why Bitcoin Matters เลยได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลกของเราอย่างไร ก็เลยเกิดความเชื่อมั่นว่า วงการเงินในโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปเลยตื่นเต้นกับเทคโนโลยีตัวนี้มาก ก็เลยลาออกจากงาน 

 

ระหว่างที่ทำงานได้ลองถามเพื่อนว่ามีใครรู้จักกันคนในซิลิคอนแวลลีย์ไหม เพื่อนก็บอกว่ารู้จักกัน แดน แชท จะนัดให้ วันเสาร์หนึ่ง เลยไปเลี้ยงแพนเค้ก แดน แชท  ผมก็ถามว่าแดนคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ Bitcoin แดนตอบว่า Bitcoin เป็นวิสัยทัศน์แรกของ Paypal เลย ตอนเปิด Paypal เขาไม่อยากมาเป็น Payment Gateway แต่เขาต้องการสร้าง Digital Dollar แต่ในยุคนั้นทุกอย่างยังไม่พร้อม อินเทอร์เน็ตยังเป็นโมเด็ม สมาร์ตโฟนก็ยังไม่มา บล็อกเชนก็ยังไม่มี คลาวด์คอมพิวติงก็ยังไม่มี แต่ยุคคุณมีทั้งบล็อกเชน ทั้งคลาวด์คอมพิวติง ทั้งสมาร์ตโฟน ทั้ง 4G ดังนั้น Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลก  นั่นเป็นการันตีอีกครั้งหนึ่งจากคนในซิลิคอนแวลลีย์ เขาเห็นโอกาสของ Bitcoin สุดท้ายผมเลยลาออกจากงาน ตัดสินใจบินกลับประเทศเพื่อมาเริ่มธุรกิจ”

 

 

กลับมาเริ่มต้นธุรกิจ Bitcoin

กลับมาถึงเมืองไทย คุณพ่อคุณแม่ช็อกมาก “ลูกคนนี้ ตอนเรียนก็ดูทรงจะกลับมาดีแล้วนะ พอกลับมาทำงานเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อยู่ที่แรกสองเดือน ที่ที่สองไม่ถึงเดือน ไปเซี่ยงไฮ้ ไปซานฟรานฯ ไม่ถึงเดือนก็ลาออกกลับมาเมืองไทย” ทิ้งเงินเดือนสูง ๆ กลับมาทำไม

 

ตอนนั้นผมบอกว่าจะกลับมาเปิดธุรกิจสตาร์ตอัป พ่อก็ถามทันทีว่ามันคืออะไร ?  นึกภาพเมื่อ 8 ปีที่แล้วคนยังไม่รู้จักสตาร์ตอัป ผมบอกว่าจะทำ Bitcoin คุณพ่อคุณแม่ก็งงกันไปใหญ่…ผมขอพื้นที่ชั้นลอยร้านขายเสื้อผ้าของคุณแม่เป็นออฟฟิศ ขอเฟอร์นิเจอร์จากคุณน้า และใช้โน้ตบุ๊ก Toshiba ที่เขียนวิทยานิพนธ์มาทำงาน เปิดบริษัทชื่อ coins.co.th เป็นบริษัทซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีบริษัทแรก ๆ ของไทยมีผมทำงานทุกอย่างเองหมด ทั้ง Operation, Customer Support, Marketing, Accounting และ Financial ปีนั้นเป็นปีที่เรียนรู้เยอะมาก ตื่นมานั่งหน้าคอมอยู่คนเดียว

 

ตอนนั้นคุณพ่อ คุณแม่ก็รู้สึกผิดหวัง ลูกชายทำอะไรนั่งทำงานอยู่คนเดียว จ้องจอคอมพิวเตอร์ สักพักคุณพ่อ คุณแม่เลยบอกว่าไปหางานทำเหมือนเด็กคนอื่นเถอะ ที่จบจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเงินเดือนหลายแสน นี่ลูกมาทำอะไรนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียว ไม่คุยกับใครมาเป็นสิบเดือนแล้ว

 

ในช่วงปี 2014 หลังจากเปิดบริษัทมาสักพัก แบงก์ชาติก็ออกจดหมายว่า “Bitcoin อาจจะเป็นแชร์ลูกโซ่ มูลค่าอาจจะเหลือ 0 ในไม่นาน อย่าเข้าไปยุ่ง” เป็น Official Letter ที่ส่งให้กับธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งว่าอย่าเข้าไปยุ่ง”  พอคุณพ่อเห็นจดหมายก็มองมาที่เรา !! คิดว่าคุณพ่อจะเชื่อใคร ระหว่างลูกชายที่จบมาหมาด ๆ ทำงานเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ กับแบงก์ชาติ  คุณพ่อบอกว่า ท๊อปปิดบริษัทเถอะ เราก็บอกว่าไปคุยกับแดน แชท มา ไปอ่านบล็อกของมาร์ค แอนดรีสเซน สิ่งที่ผมทำจะมาเปลี่ยนแปลงวงการการเงิน เกิด Generation Gap ทะเลาะกันในครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ไม่เข้าใจ เราก็ดื้อทำงานของเราต่อไป

 

“จะจ้างพนักงานก็ไมมีใครอยากมาทำงานกับเรา ซีอีโออายุ 23 ปี บริษัทการเงินอะไรผ้าเต็มไปหมดเลย ร้านขายเสื้อผ้าชัด ๆ ทั้งบริษัทมีคนทำงานอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยากทำงานกับเรา เราบอกว่า Bitcoin แบงก์ชาติบอกแชร์ลูกโซ่ อย่าเข้าไปยุ่ง ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยครับ”

 

พนักงาน 2 คนแรกของบริษัทเป็นญาติผม ผมต้องเอาเงินไปจ้างญาติที่ว่างงานมาช่วยทำงาน พอบริษัทโตขึ้นก็ย้ายไปเช่า Co-Working Space ที่เอกมัย จากห้องเล็กสุดก็เติบโตมาเรื่อยเป็นห้องระดับกลางและห้องใหญ่ ช่วงนั้นมีทีมงาน 13-14 คน วิกฤตแรกก็มา”

 

 

อะไรคือวิกฤตครั้งแรก ?

“สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เขียนจดหมายมาถึงผม นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เรียกตัวเข้าไปสอบสวน เพราะว่าคนเริ่มซื้อ-ขายเยอะขึ้น บริษัทเติบโตขึ้น ผมเก็บจดหมายนี้ไม่กล้าบอกใครไม่กล้าบอก โทร. ไปปรึกษาเพื่อนที่จบกฎหมายบริษัทใหญ่ ๆ ก็บอก Good luck ไม่มีใครกล้าช่วย เพราะช่วงนั้นการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซียังเป็นธุรกิจสีเทา ไม่ถูกและไม่ผิดกฎหมาย พอคุณพ่อเห็นจดหมาย คุณพ่อก็มองหน้าผม แล้วบอกว่า “ท๊อป ครอบครัวเราไม่ต้องเสี่ยงขนาดนั้นนะ ปิดบริษัทเดี๋ยวนี้”

 

ผมก็บอกว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลก ก็ทะเลาะกัน ตอนนั้นทุกคนต่อต้านหมด เพื่อน ๆ ที่จบออกซฟอร์ด  เคมบริดจ์ เจอกันก็จะโม้ใส่กันในงานรวมรุ่น ทำงานอะไรกันอยู่ ? โกลแมนแซคส์ บีซีจี แมคเคนซี เงินเดือนหลายแสนบาท แบรนด์ดี พอถามผม ผมบอก ทำสตาร์ตอัป มีพนักงานคนเดียว ออฟฟิศอยู่ชั้นลอยร้านขายเสื้อผ้าคุณแม่ ทำอะไรนะ Bitcoin แบงก์ชาติบอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งเลย แชร์ลูกโซ่ ตอนนั้นเลยคุยกับใครไม่ได้ เข้าสังคมไมได้

 

สุดท้ายผมต้องนั่งอ่านกฎหมาย กฎหมายการฟอกเงิน และกฎหมายการเงินทุกเล่ม หลังจากทำงานปกติ 10.00-19.00 น. แล้ว 19.00-03.00 น. ผมต้องนั่งอ่านกฎหมาย ทำแบบนี้ติดต่อกันหลายเดือนเพื่อที่จะนำเสนอให้ ปปง.ทราบ ในยุคนั้น ปปง.ก็ไม่รู้ว่า Bitcoin คืออะไร ระบบรายงานการซื้อขายเป็นอย่างไร สุดท้ายผมจึงต้องเซ็ตอัประบบรายงานการซื้อขายขึ้นมาทั้งหมด” 

 

 

อะไรทำให้ยืนหยัดสู้ต่อไปได้ ในเมื่อผู้คนรอบข้างมองตรงข้ามกับเราหมด 

“นั่นสิครับ…ผมท้อนะ แต่ไม่ถอย คงเป็นเพราะความเชื่อมั่นมาก ๆ ในสิ่งที่เราทำ เราอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนส่วนใหญ่ผิด ฉันเป็นคนส่วนน้อยที่ถูก ก็เลยสู้ต่อ และส่วนตัวเป็นที่คนไม่ชอบยอมแพ้ก็กัดฟันสู้ต่อ ท้อนะแต่ตื่นมาก็ทำงานใหม่ ท้ออีกตื่นมาก็ทำงานใหม่ เครียดมากเป็นอย่างนี้ทุกวัน ช่วงหนึ่งทุกวันศุกร์เดินทางไปดอนเมือง แล้วก็จิ้มไฟลต์ที่กำลังจะออกแบบสุ่ม แล้วบินไปคนเดียวไม่สนด้วยว่าจะไปไหน พอวันอาทิตย์ก็บินกลับ วันจันทร์ทำงานต่อ ทำอย่างนี้ติดกัน 7 สัปดาห์ 

 

วันที่ไปนำเสนอกับ ปปง. พนักงานรู้ก็ลาออกไปครึ่งบริษัท ผมก็เปิดรับสมัครพนักงานใหม่ ระหว่างนั้นบริษัทก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ต้องย้ายออฟฟิศไปอยู่ที่ชิดลม สักพักวิกฤตที่สองก็มา แบงก์ชาติออกหนังสือเรียกเข้าไปสอบสวน เพราะปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาก ผมโทร. ไปหาเพื่อนที่จบกฎหมาย ทุกคนก็บอกว่า Good Luck ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ผมต้องทำเหมือนเดิมคือ นั่งอ่านกฎหมายหลังเลิกงานทุกคืน พอคุณพ่อเห็นจดหมายก็ส่ายหัว บอกให้ปิดบริษัทเดี๋ยวนี้ ผมก็ดื้อบอกว่า “Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลก”  วันที่ไปรายงานกับแบงก์ชาติ พนักงานรู้ก็ลาออกไปครึ่งบริษัท”

 

 

ระหว่างนั้นบริษัทก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสโลก

ใช่ครับ หลังจากนั้นก็คิดว่าจบแล้วนะ แต่ก็ยังมีวิกฤตระลอกที่สาม กรมสรรพากรออกจดหมายมาหา  เรียกให้เราไปอธิบายกับกรมสรรพากรว่า Bitcoin คืออะไร จ่ายภาษีอย่างไร เก็บภาษีอย่างไร ผมเองเดินทางไปอธิบายหลายครั้ง สุดท้ายกรมสรรพากร ส่งเจ้าหน้าที่มาทำงานอยู่กับบริษัทเลย 3 เดือน ตรวจสอบการทำงาน คำสั่งซื้อขายทั้งหมด พนักงานของผม ทำงาน 10.00-19.00 น. หลังจาก 19.00-03.00 น. ทุกคนต้องกลายเป็นนักบัญชีคอยชี้แจงกับสรรพากร พนักงานทนไม่ไหวก็ลาออกกันไปอีกมาก ตอนนั้นแต่ละวันมีคำสั่งซื้อขายวันละ 400-500 คำสั่ง ซึ่งก็เยอะมากในตอนนั้น เราต้องเคลียร์คำสั่งให้ทันทุกวัน”

 

 

สุดท้ายญี่ปุ่นประกาศยอมรับ Bitcoin

จุดเปลี่ยนคือวันที่ 1 เมษายน 2017 ประเทศญี่ปุ่นประกาศว่า Bitcoin ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกคนก็ส่งช้อความมายินดีกับผมว่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณเป็นคนที่ถูกจริง ๆ ด้วย คนส่วนใหญ่ผิดมาก ๆ กับ Bitcoin สรุประยะเวลาที่เราฟันฝ่ามาทั้งหมด 4-5 ปี เป็นช่วงที่โหดร้ายที่สุด แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงนั้น สุดท้ายก็มีบริษัทชื่อ Gojek มาซื้อไป”

 

 

มีท้อบ้างไหม

ท้อตลอด ความเชื่อและความที่ไม่อยากแพ้ อยากพิสูจน์ว่าเราเป็นคนส่วนน้อยที่ถูก คนส่วนใหญ่ผิด พอขายบริษัทได้ผมเองอยากพักสัก 1 ปี แต่ปรากฏว่า 2017 เป็นปีที่ Bitcoin บูม ผมขึ้นพูดบนเวทีทุกวัน  สื่อเข้ามาสัมภาษณ์ไม่ขาด เพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมาทำอยู่คนเดียว 

 

สุดท้ายปี 2017 ก็ไม่ได้พัก และยังเข้าไปแข่งขัน Fintech Challenge ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ตอนนั้นทำโครงการ Fintech ชื่อ Private Chain โดยจำลองตลาดหลักทรัพย์ 2.0 ขึ้นมา ตอนนั้นการซื้อขายหุ้นยังใช้ T+3 กันอยู่ (ระยะเวลาเคลียริงเงิน 3 วันนับจากวันซื้อขาย)  เราก็สร้างระบบ T+0วินาที คือซื้อขายได้เงินทันที  ตอนนั้นต้องการแสดงให้หน่วยงานรัฐเห็นว่า บล็อกเชนไม่ได้มีแค่ Bitcoin แต่กำลังดิสรัปทุกสิ่ง ปรากฏว่าชนะเลิศได้รางวัลที่ 1 ของ ก.ล.ต.”

 

 

เป็นจุดกำเนิดของ Bitkub

ตอนนั้นผมถาม ก.ล.ต. ว่าอยากทำตลาดหลักทรัพย์ 2.0 เป็นธุรกิจจริง ทำได้ไหม ?  ก.ล.ต. บอกว่าไม่ได้ ติดข้อกฎหมาย เพราะตลาดหลักทรัพย์มีได้แค่ที่เดียว จากนั้นกระทรวงการคลังเลยสั่งผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ควรจะต้องมีไลเซนส์ควบคุมใบอนุญาต ผมก็เลยวางแผนการในการระดมทุน ก็มีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ สุดท้ายเลยเลือก บริษัท สยามราษฏร์ กับ DTAC เป็นผู้ร่วมลงทุน ปิดเงินลงทุนที่ 67 ล้านบาทที่มูลค่าธุรกิจ 525 ล้านบาท กลายเป็นดีลการลงทุน C  Class ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สตาร์ตอัปไทย  เพราะมูลค่าเงินลงทุนเทียบเท่า Series A ซึ่งตอนนั้นผมมีเพียงกระดาษใบเดียว สุดท้ายก็เลยเปิดเป็น Bitkub ขึ้นมา

 

ผมก็เอาเงินบางส่วนจาก 67 ล้านบาท ไปเทกโอเวอร์บริษัทไอทีขนาด 20 คน แล้วเปลี่ยนเป็นบริษัท Bitkub ในปีแรกทำเงินได้ 3 ล้านบาท ปีที่สองทำเงินได้ 33 ล้านบาท ปีที่ 3 ทำเงินได้ 300 กว่าล้านบาท เดือนที่แล้ว (กุมภาพันธ์ 2564) เดือนเดียวทำได้ 400 ล้านบาท เติบโตประมาณ 1,000% ทุกปีตลอด 3 ปี ตอนนี้ Bitkub ก็เป็นสตาร์ตอัปหนึ่งในความหวังที่จะเป็น Unicorn ของประเทศไทย ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นได้ในปลายปีนี้”

 

 

มูลค่าล่าสุดเป็นเท่าไร

ถ้าตามการคำนวณ ปลายปีน่าจะทำกำไรได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท  ผมระดมทุนมาทั้งหมด 327 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ใช้เงินสักบาทเพราะเราดำเนินธุรกิจบนผลกำไรที่เกิดขึ้นมาตลอด”

 

 

อะไรเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่คุณท๊อปเจอมา 

“การทำสิ่งที่คนไม่เข้าใจอันนี้ยากอยู่แล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการทำในสิ่งที่คนต่อต้าน ในยุคแรกคนต่อต้านเพราะคิดว่า Bitcoin คือแชร์ลูกโซ่ ฟอกเงิน ซื้อขายยา ตลาดมืด เงินของเล่น ผมไปพูดไม่ต่ำกว่า 1,000 เวทีใน 8 ปีที่ผ่านมา แทบจะไปพูดทุกมหาวิทยาลัย ทุกวงการ ทุกกรม ทุกกระทรวง ทุกธนาคาร เพื่อที่จะให้ความรู้คน เพื่อให้ประเทศไทยตามทัน สิ่งที่ยากจริง ๆ ก็คือการทำสิ่งที่คนไม่เข้าใจและต่อต้าน”

 

 

จากวันนี้เราวางแผนอะไรให้ Bitkub บ้าง

ผมอยากให้ Bitkub เป็น Unicorn แรกของประเทศไทยให้ได้ อันนี้เป็นความหวังตั้งแต่เปิดบริษัทในปี 2017 ว่าต้องเป็นให้ได้ เป็นความหวังของทุกสตาร์ตอัป ตอนนี้ก็เกือบจะถึงเป้าหมายแล้ว ยูนิคอร์น คือ มูลค่าบริษัทที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท หรือทำกำไรได้ x PE (อัตราส่วนราคา/กำไรสุทธิต่อหุ้น) ฝั่ง Bitkub เป็นฝั่งทำกำไรได้ ขึ้นอยู่กับการตีมูลค่าเพราะไม่ได้ขาดทุน ซึ่งถ้า Bitkub ยังเติบโตระดับนี้ ปลายปีก็น่าจะเป็น Unicorn จากรายได้ที่ 9 เดือน”

 

 

Bitkub จะเป็นยูนิคอร์นแรกของเมืองไทย

“ใช่ครับ หวังว่าจะเป็นยูนิคอร์นแรกของประเทศไทย”

 

 

หนทางที่ยาวไกลจากเด็กเกเรสู่เจ้าของธุรกิจสตาร์ตอัประดับหมื่นล้านไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และแรงเสียดทานจากรอบข้างและสังคม แต่นั่นได้ทำให้เกิดสตาร์ตอัปที่แข็งแกร่ง และวันหนึ่งในปี 2564 นี้ Bitkub จะกลายเป็นสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์น ที่มีขนาดธุรกิจหมื่นล้าน…แต่คุณค่าแท้จริงที่เกิดขึ้นนั่นคือ ภาคธุรกิจต้องใส่ใจเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในระดับโลกอย่างแท้จริง เพื่อก้าวให้ทันกับโลก ก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง และเพื่อสร้างสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ที่มีศักยภาพระดับหมื่นล้านเหมือนเช่น BitKub

 

👇👇 รับชมเนื้อหาของ EP.อื่น ๆ ย้อนหลังได้ที่ลิงค์ด้านล่างนะครับ 👇👇
นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ เมื่อโลกก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด และ Carbon Tax|Passion Talk EP.038
📌Website : https://www.passiongen.com/news/2022/03/นฤชล-ดำรงปิยวุฒิ์-gunkul-pt-ep038
📌Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=ivjcuaBE_0w&t=121s
————————————————————–
Passion Talk EP037 ทินกร เหล่าเราวิโรจน์ Web3.0 เปลี่ยนโลก คนไทยจะก้าวอย่างไร?
📌Website : https://www.passiongen.com/inspired/passion-talk/2022/20/ทินกร-เหล่าเราวิโรจน์-web3-0-metaverse-p
📌Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=3QYnPv9Nknc
————————————————————–
Passion Talk EP036 “อำนาจ เอื้ออารีมิตร” จากมีดหมอสู่กองเอกสาร จุดประกายฝัน EKH สู่โรงพยาบาลชั้นนำครบวงจร
📌Website : https://www.passiongen.com/news/2022/06/อำนาจ-เอื้ออารีมิตร-โรงพ
📌Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=xDSjmf1LtZM&t=38s

Passion in this story