“โลกใน 100-200 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในโลกนี้มากที่สุด คือ พลังงาน ตั้งแต่การพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำ จนถึงไฟฟ้า พลังงานส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาการของโลกมนุษย์อย่างก้าวกระโดดแล้วจากนี้เป็นต้นไปหล่ะ…อะไรจะมีอิทธิพลกับเราแบบเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นคำตอบก็คือ Digital Evolution และ Digital Technology”
ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ในปี 2018-2019 โลกมีการพูดถึงยุคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เรื่องของ Digital Transformation, Digital Revolution และ Thailand 4.0 ที่คาดว่าจะเกิดเต็มตัวในปี 2030 นั่นคืออีก 8 ปีข้างหน้า แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเร่งให้ทุกอย่างหดสั้นลงจาก 2030 เป็น 2023 ทั้งนี้เพราะพัฒนาการของเทคโนโลยีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการยอมรับและใช้งานเทคโนโลยีด้วย โควิด-19 จึงเป็นตัวขับเคลื่อน ให้เทคโนโลยีพัฒนาแบบก้าวกระโดด เราอยู่ในฐานะจำเป็นที่จะต้องนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Learning from Home, Work from Home หรือพวก Digital Business ดังนั้น Digital Revolution หรือ Digital Evolution เกิดขึ้นพร้อมกัน แล้วจะขับเคลื่อนโลกใบนี้จากปีนี้เป็นต้นไป
ตัวแปรสำคัญในโลกของ Digital Revolution นี้คือ DATA ในหลายปีที่ผ่านมา เราพูดถึงข้อมูลที่มีในโลกขนาด 30-50 เซตะไบต์ (ZB) เรามองล่วงหน้าไปถึงปี 2025 จาก 50 ZB จะเพิ่มเป็น 175ZB ซึ่งเป็นข้อมูลปริมาณมหาศาล ข้อมูลที่มากขบนาดนี้เอาไปใช้ทำอะไร?… ข้อมูลมหาศาลเป็นโอกาสที่มหาศาลเช่นกัน หัวใจจึงอยู่ที่องค์กรไหนสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ นำ AI, Machine Learning มาใช้ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็จะเพิ่มขีดความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันได้ ดังนั้นต่อไปคือ ยุคของ DATA และ DATA เป็น Core ของ Digital Evolution โดยมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Emerging Technologies มาเป็นตัวผนวก ทำให้เราสามารถใช้เดต้าได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ต่อการบริหารจัดการประเทศ
งานวิจัยของ IMF Asia Digital ระบุว่าเอเชียจะได้รับประโยชน์มากมายจาก Imaging Technology ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง AI, Machine Learning, Fintech, Crypto Currency และ BIG DATA เหล่านี้จะทำให้เอเชียแข็งแกร่ง เพราะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้เร็ว และเอเชียมีกลุ่มคนรายได้ปานกลางมาก มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเราจะเป็นกลุ่มประเทศที่จะได้อานิสงส์จาก Digital Evolution มากที่สุด
ถามว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน?…..
ผมอยากให้สะท้อนภาพจากเรื่องของ eCommerce เพราะ eCommerce เป็นตัวชี้วัดที่ตอบโจทย์ได้ดีในเรื่องของ Digital Evolution แค่มีเทคโนโลยียังไม่พอ ต้องมีความพร้อมของคนในประเทศในการเปิดรับเทคโนโลยีด้วย
การจะนำ DATA มาใช้ได้ดีนั้น ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ Technology Process และ People ในยุคของDigital Evolution จะมี DATA เป็นศูนย์กลาง เหมือนพลังงาน ดังนั้นแม้องค์กรมี DATA แต่ขาดเทคโนโลยี ขาดกระบวนการจัดการที่ดี ขาดนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ก็เหมือนกับมีพลังงานแต่เอาไปใช้ไม่ได้ ดังนั้นแล้วจึงมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็น DATA Champions ที่มีการใช้ Technology Process และ People อย่างยอดเยี่ยม
ผลสำรวจยังระบุว่า 73% ขององค์กรมีระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยมแต่ขาดข้อมูล เพราะแต่ก่อนข้อมูลมักเกิดขึ้นที่ Data Center เท่านั้น แต่ปัจจุบันข้อมูลเกิดขึ้นข้างนอกมากกว่าครึ่งหนึ่ เพราะฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนวิธีการจัดการ จะต้องเก็บข้อมูลอย่างไรเพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด นั่นคือเรื่องของการใช้ IoT (Internet of Thing)
จากข้อมูล Data Paradox สะท้อนให้เห็นว่า วันนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องบุคลากร เรื่อง Eco System ในเรื่องเทคโนโลยี แต่ยังขาดการจัดการที่ดีในเรื่อง DATA จะทำอย่างไรถึงจะนำ DATA มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมแนะนำว่าต้องลงทุน 3 อย่าง 1.เทคโนโลยีต้องมี จะเก็บข้อมูลให้ดีที่สุด รองรับการเติบโต 2.ต้องมีกระบวนการที่ดีในการจัดการ 3.ต้องมีบุคลากรที่พร้อมปัจจุบันเรามีบริการ As a Service เข้ามาตอบสนองความต้องการ บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนทุกอย่างด้วยตัวเอง ข้อมูลการทำงานบางอย่างเก็บไว้ที่บริษัท แต่กระบวนการวิเคราะห์จัดการ อาจจะจ้างเอาท์ซอร์สทำ ตรงนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้เร็วขึ้น ซึ่งก็ในเมืองไทยก็ถือว่ายังน้อยอยู่