นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเอสสไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ กับแรงบันดาลใจสู่การสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย…

 

วันนี้ passion gen เจาะลึกถึงกระดูกสันหลังกับบทสัมภาษณ์ นายแพทย์ดิตถพงษ์ ที่จะมาเผยความจริงของความเจ็บป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังของคนไทย มุมมองในการสร้างนวัตกรรม และการนำหุ่นยนต์ในช่วยในการให้บริการ อะไรคือหัวใจความสำเร็จของชายคนนี้ ต้องติดตาม..

 

นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการแทย์ ในฐานะศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาท และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดแผลเล็ก ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นจุดแข็งและจุดกำเนิดของโรงพยาบาล เอสสไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย

แรงบันดาลใจสู่การเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทาง

เป็นความฝันของผม… ผมฝันว่าวันหนึ่งผมอยากจะเปิดโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ผมเป็นหมอเฉพาะทางโรคกระดูกสันหลัง ผมพบว่าเวลาผมทำงานในโรงพยาบาลทั่วไปจะมีแผนกอยู่หลายแผนก เช่น  แผนกสูตินารีเวช แผนกศัลยกรรม แผนกกุมารเวช แผนกอายุรกรรม ฯลฯ เมื่อได้รับทรัพยากรก็ต้องนำมากระจายเท่าๆ กัน แบ่งกัน เช่น เมื่อซื้อเตียงผ่าตัดมาก 1 หลังก็ต้องให้สามารถใช้ได้หลายๆ แผนก นั่นทำให้เกิดอุปสรรคต่อการักษา ไม่สามารถจัดการรักษาที่ดีที่สุดเฉพาะทางได้

 

แต่สำหรับโรงพยาบาลเฉพาะทาง เราอาจจะซื้อเตียงผ่าตัดที่ใช้เฉพาะกระดูกสันหลัง มีพยาบาลที่ฝึกฝนมาเฉพาะทาง ที่มีความชำนาญกับการรักษาโรคกระดูกสันหลังโดยเฉพาะ ผมยึดคำกล่าวโบราณ ว่า รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง โดยเริ่มจากการเปิดเป็นคลีนิค 2 ปี แล้วจึงยกระดับขึ้นมาเป็นโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการทำตามความฝันให้เป็นจริง ปัจจุบันเปิดดำเนินการมาแล้ว 7 ปี

 

 

ทำไมถึงเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางกระดูกสันหลัง

ตัวผมเองเป็นหมอด้าน neurosurgery หรือศัลยแพทย์สมอง ระบบประสาท และกระดูกสันหลัง เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดสมอง ผ่าตัดเส้นประสาท และผ่าตัดกระดูกสันหลัง และผมยังจบอนุสาขาทางด้าน Minimally invasive surgery หรือการผ่าตัดแผลเล็ก ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ด้านการผ่าตัดที่แต่เดิมต้องผ่าเปิดพื้นที่มีแผลขนาดหนึ่งคืบ แต่ปัจจุบันแผลผ่าตัดเล็กลงเหลือเพียง 5 มิลลิเมตร  นั่นทำให้หลายคนที่กลัวการผ่าตัดใหญ่ที่มีข้อแทรกซ้อนได้ง่าย หันมาสนใจด้านนี้ โดยเฉพาะการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่หลายคนทราบดีว่า มีข้อแทรกซ้อนได้ง่ายมาก

 

โรคกระดูกสันหลังกับคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ถามว่าปัญหาที่เกิดกับคนไทยเยอะไหม? ผมว่าปัญหานี้เกิดกับคนทั่วโลก เพราะโรคของกระดูกสันหลังมันเกิดจาก Defect ของ Species คือเผ่าพันธุ์มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์สี่ขา จากเดินที่กระดูกสันหลังอยู่ในแนวนอน แล้วอยู่ดีๆ เมื่อประมาณ 2-3 ล้านปีก่อน เราลุกขึ้นมายืน 2 ขา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของวิวัฒนาการ สมองเราคิดมือเราทำมนุษย์จึงสามารถพัฒนาได้มากกว่าสัตว์อื่น แต่ปัญหาคือ เมื่อเรายืนสองขากระดูกสันหลังอยู่ในแนวตั้งต้องรับแรงกดที่มากขึ้นจากทั้งร่างกาย กระดูกสันหลังจึงมีปัญหามากขึ้น ดังนั้นทุกคนในโลกมีปัญหาเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่คนไทย ยิ่งคนน้ำหนักตัวเยอะ แรงกดต่อกระดูกสันหลังจะยิ่งมาก

 

คนที่ใช้แรงงาน เช่น คนทำไร่ไถนาจะปวดหลังปวดเอว คนใช้คอมพิวเตอร์ใช้โทรศัพท์มือถือก็จะปวดคอ นักกีฬาที่ตีแบดต้องก้มเงยๆ กระดูกคอก็จะเสื่อม นักกีฬายกน้ำหนักกระดูกสันหลังส่วนเอวก็จะเสีย

 

เมื่อสักครู่พูดถึงนวัตกรรมอยากให่เล่าถึงจุดเด่นของโรงพยาบาลเอสสไปน์

ความเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ทำให้เราสามารถดึงจุดเด่น ดึงนวัตกรรมออกมาได้เต็มที่ เราใช้ความเชี่ยวชาญของเราได้เต็มที่เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร ยกตัวอย่างเช่น การผ่าตัดแบบเดิมที่เปิดแผลใหญ่ๆ  อาจจะใช้น๊อตยึดหรืออะไรพวกนี้ แต่ปัจจุบัน คือทำแผลให้เล็กลงได้ แล้วเราสามารถซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ที่สนับสนุนการรักษาที่ทำให้เราผ่าตัดแผลเล็กลงได้ เราส่งคนไปเรียน ฝึกพยาบาลเฉพาะทางด้านนี้ ทำให้ห้องผ่าตัดเป็นทีมที่พร้อมและมีอุปกรณ์ที่พร้อมสำหรับการรักษา ผมว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโรงพยาบาลเฉพาะทาง

 

ดังนั้นเราต้องพัฒนาตัวเอง ในการพัฒนานวัตกรรมให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่การรักษาอย่างเดียว  คนจะคิดว่าการรักษาโรคจะจบที่การรักษาอย่างเดียว ซึ่งที่จริงไม่ใช่ หมอผ่าตัดอาจจะเก่ง ฝีมือสุดยอดเลย แต่ถ้าเจอทีมพยาบาลที่ไม่เก่งก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน หรือคนไข้มาอยู่ในการดูแลรักษาหลังผ่าตัด โดยทีมที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรืออุปกรณ์ไม่เพียงพอมันก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน

 

ถ้าหากคุณคิดว่าคุณจะเชี่ยวชาญ  คุณต้องชี่ยวชาญตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คือ ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา การดูแล รวมถึงการให้ความรู้ด้วย ไม่แค่การรักษาอย่างเดียว

 

เมื่อคนไข้กลับบ้าน เขาต้องรู้ว่ป่วยเป็นอะไร ต้องดูแลตัวเองอย่างไร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่บอกว่าถ้าโรงพยาบาลเชี่ยวชาญจริงต้องเชี่ยวชาญตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ อีกอย่างนึงคือ หน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญต้องให้ความรู้กับสังคมได้ ทำให้สังคมมีความรู้ที่เพียงพอ เพราะถ้าคุณบอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ สังคมก็ควรที่จะได้รับความรู้จากคุณด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นลูกค้า ไม่ได้มารักษาที่โรงพยาบาล แต่ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้ประชาชนและสังคมได้รับรู้ในสิ่งที่เขาควรจะรู้

 

ปัจจุบันเราถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบไหนบ้าง

ในรูปแบบเว็บไซต์และสัมนา แต่ในช่วงนี้การจัดสัมนาทำได้ลำบากจึงเป็นรูปแบบเว็บไซต์ ยูทูป ผมว่าถ้าไม่ป่วยคนทั่วไปก็คงไม่ศึกษาเรื่องนี้โดยตรง  แต่เมื่อเกิดปัญหาจะเริ่มศึกษาลึกขึ้น การศึกษาความรู้ปัจจุบันทำได้ง่าย กดปุ่มนิดเดียวบนหน้าจอมีทุกอย่าง

 

ลูกค้าของเราปัจจุบันเป็นกลุ่มไหนบ้าง

เนื่องจากเราเป็นโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มเป้าหมายจึงเป็น คนไข้ที่เจ็บป่วยทั่วไป ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยก้มีหลากหลายมากขึ้น ไมท่ได้จำกัดแค่ผู้สูงอายุ คนที่ใช้ร่างกายอย่างหนัก คนที่เป็น นักกีฬา คนที่ตีกอล์ฟ คนทำงานออฟฟิศ หรือกระทั่งเราเล่นมือถือมากๆ ก็มีอการป่วยได้ ปัจจุบันเด็กอายุ 18-20 ปี ก็มีอาการป่วยลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น

 

สำหรับเราเองนั้น นอกจากการรักษาคนไข้โดยทั่วไปแล้ว โรงพยาบาลเรายังมีโปรแกรม CSR ที่คืนคุณค่าให้กับสังคม อย่างง่ายที่สุดคือการให้ความรู้ เราก็กระจายความรู้นี้ให้บุคคลทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า จะเป็นคนไข้เราไม่เป็นคนไข้เราจะรักษาที่เราหรือรักษาที่อื่นไม่ใช่ปัญหา ขอให้เขาได้ความรู้ที่ดีไปอันนี้ประการแรก

 

ประการที่สอง มีคนไข้หลายคนที่ต้องการความช่วยเหลือในการรักษา โดยที่เขาไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ เช่นอาจจะติดขัดเรื่องค่ารักษา หรือมีเหตุผลจำเป็นอื่นๆ ส่วนนี้เราก็ให้การช่วยเหลือคนไข้ แต่แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถที่จะช่วยเหลือทุกคนได้ อีกประการหนึ่งคือ การฝึกฝนสำหรับแพทย์ ทั้งที่ทำงานอยู่กับเรา และทาไม่ได้ทำงานกับเราก็มี เพื่อให้เขามีความรู้ความสามารถมากขึ้น สามารถช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราเช่นกัน

เคยเจอเคสยากไหมครับ

เป็นธรรมดาของการรักษาที่ต้องมีทั้งเคสที่ยากและเคสที่ง่ายผสมกัน แต่เคสที่ยากสำหรับเราก็คงจะยากสำหรับที่อื่นเช่นกัน แต่ผมว่าความยากสำหรับเราก็เป็นสิ่งที่เราเคยชิน เราต้องจัดการกับความยากอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราจัดการได้ทำบ่อยๆ เราก็จะชำนาญ ความยากก็จะลดลงเรียกว่า เราจัดการกับเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

 

ตัวอย่างเช่น คนขับรถ ตอนเรียนขับรถใหม่ๆ เหยียบคลัช เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรคก็เป็นเรื่องยาก แต่พอทำจนเคยชินก็เป็นเรื่องง่ายทำได้โดยไม่ต้องคิด แพทย์ชำนาญการก็เช่นเดียวกัน ยิ่งถ้าคุณฝึกฝนจนชำนาญมากกเหมือนคุณกำลังขับรถ Formula1 ซึ่งใช้สกิลมากกว่า

 

เราให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และการใช้หุ่นยนต์อย่างไร

นวัตกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะกับโรงพยาบาลเฉพาะทาง ถ้าคุณไม่เก่งกว่าโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลก็คงมีปัญหา เนื่องจากเราไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งปันทรัพยากรกับใคร เราจึงโฟกัสกับนวัตกรรมได้มากขึ้น

 

คนส่วนใหญ่จะคิดว่านวัตกรรมเกิดขึ้นเฉพาะในการรักษา แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น นวัตกรรมเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่ในขั้นตอนการวินิจฉัยจนถึงการดูแลรักษาหลังผ่าตัด การใช้งานหุ่นยนต์ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็น ในกระบวนการรักษานอกจากหมอและพยาบาลแล้ว พนักงานทุกคนในโรงพยาบาล เช่น พนักงานต้อนรับ ฝ่ายทะเบียน ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาเช่นกัน ซึ่งปกติของมนุษย์จะมีวันที่ดีและไม่ดี ทำให้บริการมีการแกว่งขึ้นลงในแต่ละวัน แต่การนำหุ่นยนต์มาใช้ จะทำให้บริการมีมาตรฐานที่คงที่  ทุกคนได้รับการดูแลที่ใกล้เคียงกัน

 

ประการที่สอง หุ่นยนต์ไม่มี ขาด-ลา-มาสาย ลาฉุกเฉิน ลาป่วย หรือ มีปัญหาการเมืองในองค์กร เพราะหุ่นยนต์คงไม่ทะเลาะกัน การใช้หุ่นยนต์จึงลดปัญหาเรื่องพวกนี้ไปได้เยอะ ฉะนั้นการใช้หุ่นยนต์ ผมเชื่อว่าเป็นวัตกรรมที่สำคัญ งานวิจัยล่าสุดระบุว่า อัตราการเกิดของคนไทยลดลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งสอดคล้องกับlถานการณ์ทั่วโลกในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ถ้าแนวโน้มเป็นเช่นนี้ จะพบว่าแรงงานภาคธุรกิจบริการในอีก 15-20 ปีข้างหน้าจะลดลงแรงงานทดแทนจะน้อยลง หุ่นยนต์จะมีบทบาทมากขึ้น ผมว่าเราก็ต้องทำการศึกษา ให้ทุกคนเข้าใจแล้วโรงพยาบาลเข้าใจ รู้มันอย่างถ่องแท้ถ้ามันต้องใช้ในอนาคต ผมว่าเป็นสิ่งจำเป็น และเราได้รับมาก็ไม่ผิดหวัง เพราะช่วยเราได้เยอะจริงๆ

ก้าวต่อไปของเอสสไปน์จะมีพัฒนาการอย่างไร

เราคงเริ่มจากการนวัตกรรมในทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ หุ่นยนต์ก็คงมีการใช้มากขึ้น ในการดูแลคนไข้ให้เกิดการบริการที่ราบรื่น แล้วนำบุคลกรไปอยู่ในจุดที่ต้องใช้คนในการทำงานมากขึ้น การดูแลรักษาคนใช้ที่เป็นทั้งศิลปะและศาสตร์ที่มากขึ้นกว่าเลเวลของหุ่นยนต์ ทำให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ดีขึ้น

 

ส่วนที่สอง การนำเทคโนโลยีการรักษาที่ช่วยให้คนไข้รักษาได้ปลอดภัยมากขึ้น ได้ผลดีขึ้น แล้วถ้าค่าใช้จ่ายน้อยลงด้วยยิ่งดี ซึ่งแนวโน้มก็เป็นเช่นนั้น การรักษาที่ปลอดภัยจะทำให้การนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง ส่งผลให้การรักษาถูกลงไปในตัว ประการสำคัญคือ การรักษาที่ดีต้องไม่มีข้อแทรกซ้อนเกิดขึ้น ข้อแทรกซ้อนหลายอย่าง เป็นความเสียหายที่ไม่สามารถตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ เช่น ความพิการ ถ้าเราลดข้อแทรกซ้อนลงได้จะเป็นผลดีต่อการรักษา ดังนั้นนวัตกรรมที่ทำให้รักษาปลอดภัย ได้ผลดี และค่าใช้จ่ายน้อยลง เราจะมุ่งไปทางนั้น และการรักษากระดูกสันหลังเป็นศาสตร์ที่ยังพัฒนาต่อเนื่องอยู่เสมอ

 

นวัตกรรมในการดูแลหลังผ่าตัด และการให้ความรู้แก่คนไข้ก็เป็นการรักษาอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันเราก็ใช้ Telemedicine ในการช่วยดูแลคนไข้ คนไข้หลายคนอยู่ต่างจังหวัดอยู่ต่างประเทศ ผ่าตัดไปแล้วต้องการให้ติตดามผลการรักษา ดูแผลผ่าตัด ส่วนนี้เราใช้ Telemedicine ทำให้คนไข้ไม่ต้องเดินทางไกล เพื่อมาขอรับคำปรึกษาแค่ 5-10 นาที เราริเริ่มการใช้ Telemedicine โดยใช้วงจรของเราเองไม่ใช่โปรแกรมแชทหรือโปรแกรมประชุม เพื่อตอบโจทย์คนไข้ที่อยู่ไกล

 

ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของเราเหมือนกันที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  และพัฒนาความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่ วันนี้เราใช้หุ่นยนต์ในการบริการผู้ป่วยนอก สักพักเราจะนำมาใช้บริการผู้ป่วยใน เช่น การดูสัญญาชีพ การดูแลปัญหาเบื้องต้น ระบบหุ่นยนต์สามารถช่วยจัดการเบื้องต้นได้

 

สำหรับโรงพยาบาลเอสสไปน์ ผมเองมั่นใจเรื่องนวัตกรรม เราให้ความสำคัญกับนวัตกรรม เราเชื่อว่าถ้าเรารักษาได้ดีคนไข้จะมาหาเราเอง

 

ปัจจุบันนวัตกรรมการรักษากระดูกสันหลัง ก้าวหน้าไปขนาดไหน

หลายคนคงติดภาพลักษณ์ที่ว่า ผ่าตัดกระดูกสันหลังต้องแผลใหญ่เป็นคืบ ต้องนอนโรงพยาบาลหลายอาทิตย์ บางครั้งต้องเสียเลือดมาก ต้องมีการให้เลือด แต่ที่เอสสไปน์คนไข้ของเรามากกว่า 95% นอนโรงบาลแค่คืนเดียว แผลจากเดิมยาวเป็นคืบเหลือแค่ 5 มิลลิเมตร และเราไม่ต้องให้เลือดเพิ่มกับคนไข้เลย ข้อแทรกซ้อนที่เอสสไปน์ต่ำกว่าระบบเก่าเยอะมาก อันนี้คงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคนไข้

 

ในด้านอุปกรณ์การรักษา เรามีทั้งเลเซอร์ ทั้งกล้อง หลายๆแบบ เป็นหน้าที่ของแพทย์เฉพาะทางว่า จะให้การรักษาอย่างไร และการรักษาที่เอสสไปน์ยึดหลักของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตามหลักของพระพุทธศาสนา ต้องหาทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุอยู่ที่ไหน เมื่อรู้สาเหตุก็หาวิธีรักษา แล้วจึงเจอมรรค หรือความสำเร็จ

 

ผมมีความเชื่อว่า ถ้าคนมีอาการปวด กินยาแก้ปวดก็จะหายปวด แต่โรคไม่ได้ถูกรักษา ยาหมดฤทธิ์ก็จะเป็นอีก วนเวียนอยู่แบบนี้  เอสสไปน์เราจึงให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยโรคค้นหาสาเหตุเสียก่อน เมื่อพบต้นเหตุแล้ว การรักษาจะทำโดยกายภาพบำบัดก็ได้ กินยาก็ได้ ผ่าตัดก็ได้

 

โรคที่เกิดกับกระดูกสันหลังนั้นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องพฤติกรรม ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความเสื่อมสภาพของร่างกาย และส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของสรีระ พออายุมากขึ้นก็จะเจอปัญหายาวนานมากขึ้น เพราะความเสื่อมมันมากขึ้น

 

อยากให้ให้ความรู้หรือแนวทางกับคนรุ่นใหม่

ปัญหาเรื่อง Generation Gap เป็นปัญหาที่มีมาทุกรุ่นไม่ได้เกิดแค่ตอนนี้ สมัยผมเป็นเด็กคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็บอกว่าคนรุ่นผมไม่ได้เรื่อง ผมว่าทุกคนอาจจะเจอปัญหาเดียวกัน มันเป็นเรื่องปัญหาของวิวัฒนาการของโลก เรื่อง Generation Gap ฉะนั้นคาแรคเตอร์ของคนแต่ละ Generation ก็จะไม่เหมือนกัน พอผมเป็นเด็กผมก็โดนรุ่นพ่อแม่บอกว่าไม่ได้เรื่อง

 

แต่สิ่งที่ผมเจออาจจะเป็นรุ่นพ่อมองรุ่นผม หรือรุ่นผมมองรุ่นเด็กลงไป หรือรุ่นเด็กมองรุ่นที่เด็กลงไปอีก ผมว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ “ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ ความสำเร็จนั้นเกิดมาจากความพยายาม” อดีตความรู้เดียวอาจจะทำชีวิตรอดได้ เช่น คุณจบมหาวิทยาลัย คุณมีความรู้เดียว ก็สามารถประกอบอาชีพได้ตลอด แต่ปัจจุบันอาจจะไม่ได้แล้ว คุณต้องมีความรู้หลายๆ ด้าน แต่ก่อนคนจบปริญญาตรีแทบจะลงหนังสือพิมพ์เลย แต่ปัจจุบันปริญญาโทยังเฉยๆ  ดังนั้นวิวัฒนาการมันเปลี่ยนไป องค์ความรู้อีกหน่อยคนอาจจะไม่ต้องจบมหาวิทยาลัยเลยแต่สามารถทำงานได้

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายถ้าคุณไม่มีความเพียร ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ถ้าคุณไม่มีความเพียรความสำเร็จไม่เกิด ถ้าคุณไม่มีความมุ่งมั่นความสำเร็จไม่เกิด ถ้าไม่คุณไม่เอาจิตใจจดจ่อกับมันความสำเร็จก็ไม่เกิดเช่นเดียวกัน

 

ผมก็อยากฝากที่จริงต้องฝากคนทุกเจเนอเรชั่น ผมยึดหลักเดียวกัน ต้องจดจ่อ มีความเพียร แล้วก็เอาใจใส่กับมัน  ถึงจะประสบความสำเร็จ คนในเจนเนอเรชั่นถัดไปจากผมก็คงต้องมีความเพียรและมีความจดจ่อ ซึ่งจริงๆเขาอาจจะจดจ่อในเรื่องที่คนรุ่นผมไม่เข้าใจก็ได้ แต่เขาจดจ่อแล้วเขาสำเร็จ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราเจอ แต่ถ้าเขาไม่จดจ่อ ไม่ใส่ใจ ไม่มีความเพียร แล้วเขาเจอปัญหาเล็กน้อยแล้วเขาถอย ผมว่าความสำเร็จในชีวิตเกิดยาก

————————————————————–

รับชมเนื้อหาของ EP.อื่น ๆ ย้อนหลังได้ที่ลิงค์ด้านล่าง :


นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ กันกุลก้าวสู่บริษัทพลังงานครบวงจร | Passion Talk EP039
Website : https://www.passiongen.com/inspired/passion-talk/2022/17/นฤชล-ดำรงปิยวุฒิ์-gunkul-spectrum-pt-ep039
Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=SRPEK-ojd-Y
————————————————————–

นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ เมื่อโลกก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด และ Carbon Tax | Passion Talk EP.038
Website : https://www.passiongen.com/news/2022/03/นฤชล-ดำรงปิยวุฒิ์-gunkul-pt-ep038
Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=ivjcuaBE_0w
————————————————————–

Passion Talk EP037 ทินกร เหล่าเราวิโรจน์ Web3.0 เปลี่ยนโลก คนไทยจะก้าวอย่างไร?

Website : https://www.passiongen.com/inspired/passion-talk/2022/20/ทินกร-เหล่าเราวิโรจน์-web3-0-metaverse-p

Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=3QYnPv9Nknc
————————————————————–


Passion Talk EP036 “อำนาจ เอื้ออารีมิตร” จากมีดหมอสู่กองเอกสาร จุดประกายฝัน EKH สู่โรงพยาบาลชั้นนำครบวงจร
Website : https://www.passiongen.com/news/2022/06/อำนาจ-เอื้ออารีมิตร-โรงพ
Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=xDSjmf1LtZM&t=38s
————————————————————–

Passion in this story