ในยุคโควิดแบบนี้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมากนะครับ หลายธุรกิจจำเป็นต้องชะลอตัว ปรับลดพนักงาน พักกิจการ หรือเลวร้ายที่สุดคือปิดกิจการไปเลย ซึ่งผลที่ตามมาสำหรับเด็กจบใหม่คือหางานได้ยากขึ้น แต่สำหรับธุรกิจ e-commerce แล้ว อาจเรียกได้ว่านี่คือช่วงเวลาทอง เพราะผู้คนหันมาจับจ่ายใช้สอยกันผ่าน online shopping กันมากขึ้น และผลที่ตามมาคือธุรกิจขยายตัวและต้องการพนักงานเพิ่มจำนวนมาก
คลาสในวันนี้เราเลยจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับบริษัท e-commerce รายใหญ่ที่ใครต่อใครก็ต้องเคยใช้บริการ นั่นคือ Shopee แอพสีส้มๆตัวนี้แหละครับ ซึ่งวันนี้เราจะพูดคุยกับ ต้นฝน-วิริยากรณ์ ขอบชิต สาว Shopee ที่ทำงานมาเกือบ 2 ปี ว่าการทำงานใน Shopee เป็นอย่างไร น่าสนใจแค่ไหน แล้วสำหรับเด็กจบใหม่ที่กำลังหางาน การทำงานกับ Shopee จะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจหรือไม่
ถ้าพร้อมแล้วไปดูเลยครับ
ต้นฝนทำอะไร ตำแหน่งไหน ใน Shopee
“ชื่อตำแหน่งเรียกว่า category management analyst เป็นตำแหน่งที่อยู่ในแผนก business development ซึ่งก็จะมีหลายแผนกย่อยทั้งหมด 20 กว่าแผนก เราอยู่ในแผนก toys, kids, & babies”
ก็เป็นพวกของเล่นของเด็ก
“ไม่ใช่แค่ของเล่น มันจะเป็นสินค้า FMCG (Fast Moving Consumer Goods) คือจะเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เช่น ผ้าอ้อม นม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งก็จะโฟกัสที่ sub-category มากกว่าพวกของเล่นด้วยซ้ำ เป็นสินค้าที่ต้องซื้อใหม่เรื่อย ๆ”
ต้นฝนทำงานที่ Shopee มานานแล้วหรือยัง
“1 ปีครึ่งพอดีเลย 1 ปี 6 เดือน”
อยากจะรู้ว่าต้นฝนเริ่มมาทำงานที่ Shopee ได้ยังไง เรียนจบอะไรมาถึงได้มาทำงานที่ Shopee
“เรียนรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ แต่ว่าก็มาทำ Shopee เพราะว่าตอนเรียนจบได้ไปเข้าร่วมโครงการหนึ่งที่เรียกว่า SIP ของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมันจะเป็นโครงการที่ฝึกให้คนเป็นผู้ประกอบการจริง ๆ มันก็เปลี่ยนสายการเรียนรู้ของเราไปเลย แล้วหลังจากจบโครงการก็ยังไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์อยู่นะ ทำงานวิจัยประเมินภาครัฐ เชิงผังเมือง เชิงนโยบาย การบริหารรัฐ ต้องขึ้นเหนือลงใต้
แล้วก็มาจบที่ Shopee เพราะรู้สึกว่าทำงานพวกนี้มันไม่ค่อยเห็น end-to-end แบบเราทำวิจัยจริง ทำให้คนนี้ รัฐบาลนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะหยิบงานวิจัยเราไปใช้ หรืองานสำรวจเรามันอาจจะล้าสมัยไปแล้ว เราก็เลยอยากทำอะไรที่ end-to-end มากกว่านั้น ซึ่งธุรกิจแบบ commercial มันค่อนข้าง end-to-end มากกว่า เราลงแรงไปแล้วเราก็เห็นกลับมาในระยะเวลาที่แน่นอน เราก็เลยอยากลองทำดูซึ่งเพื่อนสนิทเราทำงานอยู่ แล้วที่ Shopee จะมีระบบที่เรียกว่า Referral คือคนใน Shopee แนะนำเราเข้าไป CV เราจะถึงมือ HR โดยตรงเลย มากกว่าที่เราจะไปสมัครตามเว็บหางาน ซึ่งก็จะสุ่มอีกว่าจะถึงมือ HR ไหม
ก็เหมือนเพื่อนเราเอา CV ไปให้ HR เขาก็เรียกเราไปสัมภาษณ์แล้วก็ได้งานเลยวันนั้น งงมาก ปกติเขาต้องใช้เวลาสัมภาษณ์ 2-3 รอบ นี่สัมภาษณ์ปุ๊ป 2 ชั่วโมงเขาโทรมาบอกจะเอาเลย (หัวเราะ) ก็เลยลองดู แล้ว Shopee ตอนนั้นก็ถือว่าป๊อปมาก ใคร ๆ ก็อยากเข้าไปทำ”
แปลว่าไม่ว่าจะจบอะไรมาก็สามารถไปทำงานกับ Shopee ได้
“ใช่ ถูกต้อง บางแผนกก็เป็นแบบนั้น บางแผนกก็ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ที่นี่ค่อนข้าง learning by doing มากกว่า”
การเข้ามาทำงานใน Shopee ยากไหม
“สำหรับต้นฝนไม่ได้ยากขนาดนั้น ณ ตอนนั้น เพราะ Shopee กำลังโตมาก บริษัทมันโตไวแล้ววิชั่นของ CEO เขาจะเอาเงินลงกับคนมากกว่าการพัฒนาระบบ เขาเชื่อเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ เขาก็จะรับสมัครคนค่อนข้างเยอะ เหมือน demand กับ supply มันค่อนข้างตรงกันในช่วงนั้น ก็เลยไม่ได้ยากมากขนาดนั้น”
ในสถานการณ์วิกฤตโควิด Shopee ลดการรับพนักงานเพิ่มไหม
“ไม่ เปิดเพิ่มตลอดเพราะว่าคนก็เปลี่ยนมาช็อปปิ้งออนไลน์กันค่อนข้างเยอะ ก็ต้องยอมรับว่า e-commerce โตมาก Shopee โตเร็วกว่าระบบตัวเองเลยเลือกที่จะหยิบคนไปใช้มากกว่า”
ในส่วนงานที่ต้นฝนรับผิดชอบต้องทำอะไรบ้าง
“เราดู toys, kids, & babies เนอะ ซึ่งเป็น category ที่ค่อนข้างใหญ่มากใน Shopee แล้วแคมเปญจะเยอะมากในแต่ละเดือนแต่ละสัปดาห์ เราก็จะเป็นคนดูแลแคมเปญหลัก ๆ เช่น เรามีรายชื่อคนขาย มีรายชื่อแบรนด์ เรารู้ว่าจะมีแคมเปญ เราก็ต้องดีไซน์มันออกมา ดีไซน์ระบบของแคมเปญ เช่น ลดสูงสุด 50% แจกโค้ดส่วนลด 30% อันนี้เราก็เป็นคนดูแลเหมือนกัน ดูแลงบประมาณตรงนี้ แล้วก็จัดการกับคนขายหรือแบรนด์ที่อยู่ในความดูแลของเราให้มีบทบาทในแคมเปญต่าง ๆ ที่เราดูแล แต่ถ้าลึกกว่านั้นจะดูแลเรื่อง CRM คือ Customer Relationship Management (การบริหารลูกค้าสัมพันธ์) ซึ่งไม่ใช่แค่แคมเปญนึงแล้วจบไป แต่เป็นแคมเปญที่ต่อเนื่อง เราต้องดูแลลูกค้าที่เข้ามาหาเราในระยะยาว”
ลูกค้าของเราคือลูกค้าที่เข้ามาซื้อหรือคนที่เอาของมาขาย
“จริง ๆ category ทำหน้าที่ทั้ง 2 อย่าง คือ ดูแลคนที่เอาของมาขายและต้องดูแลลูกค้าที่เข้ามาซื้อด้วย แต่จะเป็นการดูแลในภาพรวมมากกว่า ดูพฤติกรรมของลูกค้าว่าต้องการอะไรไม่ได้เป็นรายบุคคลขนาดนั้นเพราะขนาดมันใหญ่มาก แต่ถ้าในมุมของคนขายก็จะมี key account คอยดูแลแต่ละรายไปเลย ส่วนเราก็จะเป็นฝั่งแคมเปญกลางมากกว่า”
การทำงานใน Shopee เป็นไงบ้าง
“อย่างแรก Shopee เป็นแพลตฟอร์ม และแพลตฟอร์มไม่เคยหลับใหล เราสามารถเข้ามาซื้อของได้ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่ e-commerce ต้องทำคือเตรียมพร้อมตลอดเวลาในวันที่มีแคมเปญสำคัญ ซึ่งแคมเปญมันจะเริ่มตอนเที่ยงคืนแล้วช่วงเวลาทองของ e-commerce คือตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง นั่นแปลว่าคนที่ทำงานจะต้องอยู่ดึก เราก็มองว่ามันเป็นความท้าทายอันนึงสำหรับมือใหม่ แต่ถ้าใครทำงานไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะชินไปเอง
ตอนเราทำงานใหม่ ๆ เราก็ช็อค เที่ยงคืนกำลังจะนอนแต่เขาทักมาจะให้ฉันทำงาน แต่ข้อดีค่อนข้างเยอะ คือ Shopee เหมาะมากสำหรับคนที่จบใหม่ เพราะว่าต้องใช้พลังเยอะ ใช้สมองเยอะ ต้องทุ่มเท ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะกับคนที่เพิ่งเรียนจบมาก ๆ แล้วสังคมการทำงานค่อนข้างที่จะเป็นแนวราบไม่ค่อยมีลำดับขั้นเยอะขนาดนั้น เจ้านายเราที่ใหญ่ ๆ ก็นั่งข้าง ๆ เรา หรือเพื่อนร่วมทีมเหมือนทำงานกลุ่มในมหาวิทยาลัย จะเป็นการพึ่งพาอาศัยกันมากกว่าไม่ได้เป็นสังคมที่แข่งขันกัน
พูดตรง ๆ ว่าประชากรส่วนใหญ่ใน Shopee เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงกันมาก ๆ เลยคุยกันง่าย บางทีหัวหน้าเราอายุมากกว่าเราแค่ปีสองปี”
ดูเป็นการทำงานที่มีสภาพแวดล้อมแบบเด็กรุ่นใหม่
“มาก จะเห็นคนทำงานตี 4 ตี 5 อยู่ออฟฟิศดึก ๆ เป็นเรื่องปกติ”
รู้สึกโอเคไหมกับการอยู่ดึก
“มันก็แล้วแต่ช่วงนะ จะมีช่วงที่ไฟแรงกับช่วงที่หมดไฟ (หัวเราะ) มันเหนื่อยมันก็จะมีบ้าง แต่ช่วงไตรมาสแรกของการทำงานช่วงนั้นเป็นช่วงที่อยู่ได้ อยู่ดึกไหว เป็นช่วง Work Life Integration สำหรับเด็กจบใหม่ พอเราทำงานไปเรื่อย ๆ เราก็พบว่าชีวิตเราไม่ได้มีแค่งาน มันมีอย่างอื่นด้วย เลี้ยงหมาบ้าง เข้าสังคมบ้าง ก็จะได้แบ่งเวลาบ้าง ต้องขีดเส้นให้ชัดเจนว่านี่คืองาน นี่คือชีวิต ไม่งั้นเราจะทรมานเอง เคยเป็น yes man หลัง ๆ ก็จะต้องแบ่งให้ชัดเจน”
ต้องปฏิเสธงานบ้าง
“มันเป็นพัฒนาการของ Shopee มากกว่า จะมีช่วงหนึ่งที่บริษัทกำลังโต ทุกคนก็จะทำงานแบบบ้าระห่ำ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เรา แต่ทุกคนก็เหมือนเริ่มจะขีดเส้นชัดเจนว่านี่คือเวลางาน นี่ไม่ใช่เวลางานนะ”
ปกติ Shopee เข้างานกี่โมง ออกงานกี่โมง
“เข้า 10 โมง ออก 1 ทุ่ม แต่ก็ยืดหยุ่นอยู่นะช่วงโควิด ใครจะไป 9 โมง แล้วกลับ 6 โมงเย็นก็ได้ ให้ครบเวลาทำงาน ถ้าสายก็สายได้ไม่เกิน 10 โมงครึ่ง 11 โมงนี่เริ่มน่าเกลียดนิดนึง (หัวเราะ) เพราะทุกคนเริ่มทำงานแล้ว เราก็ต้องพร้อมทำงานกับคนอื่นด้วย”
การทำงานมีความท้าทายอื่นอีกไหม
“จริง ๆ Shopee เพิ่งโตได้ไม่ถึง 5 ปี หลาย ๆ อย่างระบบมันเลยจะยังไม่ซับพอร์ต สำหรับเรายังเห็นว่าหลาย ๆ อย่างมันไม่มีข้อจำกัด ยังไปได้อีก แต่ระบบมันยังไม่ซับพอร์ต นั่นแปลว่าเราจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่คิดว่ามีทางเลือกอื่นอีกไหมที่จะมาซับพอร์ตสิ่งนี้ได้ เราต้องเป็นคนดีไซน์เอง เป็นคนลงมือทำเอง แต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเราจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วเราจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดในเรื่องนั้น เราเริ่มต้นเองทำเองคุยกับสำนักงานภูมิภาคที่สิงคโปร์เอง แต่อีกมุมก็กลายเป็นว่ามันต้องใช้เวลาเยอะ สมมติว่าในเวลาเท่านี้ระบบซับพอร์ตแล้ว โตพร้อมกับบริษัทแล้ว คงใช้เวลากับมันน้อยลงเขาให้ความสำคัญกับตัวคนมาก เขาเชื่อในตัวคน Shopee เชื่อในทรัพยากรมนุษย์มาก”
การทำงานกับ Shopee สนุกไหม
“เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ก็มีช่วงสนุก ช่วงใจหวิว ช่วงหลอน ช่วงลอยก็มีหมด (หัวเราะ) ช่วงสนุกคือชอบมาก กลับบ้าน บอกพี่เอามาเลย หนูพร้อมลุยเลย ไม่กินข้าว หนูกินข้าวที่โต๊ะ กินข้าวในห้องประชุม เออ สนุกจอยมาก แต่พอไปเรื่อย ๆ ก็ต้องยอมรับว่าร่างกายเรามันไม่ได้จอยด้วย ทำงานที่ Shopee ครบ 1 ปีเป๊ะ ต้องไปโรงพยาบาลวันนั้นเลย ทำกายภาพบำบัด หมอบอกเป็นออฟฟิศซินโดรม เราก็ต้องเบรก ต้องรู้ลิมิตตัวเอง”
อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่บ้างาน แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึกสนุกกับการทำงาน เราเลยกลายเป็นคนบ้างาน
“ใช่ มันทำให้เราเป็นแบบนั้น แต่หลัง ๆ คนในบริษัทก็เริ่มปรับตัว เริ่มแบ่งเวลา ก็เห็นพัฒนาการของบริษัทและพนักงาน”
ได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานที่ Shopee บ้าง
“รู้ว่ายิ่งเราทำงานเรายิ่งโง่ หมายถึงเราไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ยิ่งเราทำงานนานขึ้น เราเจอคนเยอะขึ้น งานที่เราทำมันยากขึ้น เราจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราตัวเล็กมาก มันยังมีช่องว่างที่เราต้องเติมเต็มตัวเองอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราได้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่ Shopee หรอก แต่เป็นทุกที่แหละ เราอยู่มหาวิทยาลัยเราก็คิดว่าเราเจ๋งแล้ว แต่พอเราไปทำงาน ยิ่งนานวันเรายิ่งรู้สึกตัวเล็กลง ก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
อีกเรื่องนึงคือเรื่อง Human Management การจัดการกับคน อย่างที่คนเขาบอกแหละว่างานมันยาก แต่ที่ยากกว่าคือการอยู่กับคนยังไงมากกว่า การจัดการอารมณ์กับคนด้วย ก็เรียนรู้มาเรื่อย ๆ”
คิดว่าเงินเดือนเหมาะสมกับภาระงานไหม
“อยู่ที่ว่าคาดหวังอะไรมากกว่า บางคนคาดหวังว่ามาเรียนรู้ที่นี่ เขาก็ไม่ได้แคร์ว่าเงินเดือนจะเท่าไหร่”
สวัสดิการของ Shopee มีอะไรบ้าง
“สวัสดิการที่ Shopee ค่อนข้างดี เราจะไม่พูดทั้งหมด จะพูดแบบที่เห็นได้ชัด อย่างโควิดบริษัทเราจะเป็นบริษัทที่ติดโควิดช่วงแรก ๆ เลย คือยังไม่มีใครติดโควิดนะแค่สงสัยว่าจะติด Shopee ก็จะปิดตึกเลย ปิดออฟฟิศเลย แล้วก็ตามหาทุกคนที่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ชิด แล้วก็บอกว่าต้องไปตรวจโควิดนะ Shopee ก็ช่วยเหลือเรื่องค่าตรวจให้ เราว่าค่อนข้างแฟร์นะ”
ออฟฟิศของ Shopee อยู่ที่ไหน
“ตึกสิงห์คอมเพล็กซ์ เพชรบุรี เดินทางสะดวก ขึ้น MRT มาจะมีประตูเข้าตึกสิงห์เลย”
มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากจะเริ่มทำงานกับ Shopee
“อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องจบคณะอะไร สาขาอะไร Shopee ค่อนข้างเปิดกว้าง อย่างเราเป็นเด็กรัฐศาสตร์ เราก็ไปทำในส่วน Business Development ซึ่งมันไม่ค่อยเชื่อมโยงกันเท่าไหร่เลย Shopee ค่อนข้างเปิดในจุด ๆ นี้ แล้วสำหรับใครที่คาดหวังในเรื่องของการเรียนรู้ บอกเลยว่า Shopee ตอบโจทย์มาก ๆ รู้สึกเลยว่าได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
สมมติว่าเรามีไอเดีย คนที่ทำงานที่ Shopee รับฟังมาก ๆ เราสามารถเริ่มต้นอะไรต่าง ๆ นานาด้วยตัวเองได้ แล้วเราทำให้มันเป็นจริงได้ใน Shopee ตั้งแต่เราทำมาทุกอย่างเป็นไปได้ เรา make it happened ได้ด้วยตัวเราเอง ก็แนะนำใครที่ชอบการเรียนรู้ เป็นคนค่อนข้างรวดเร็ว อยู่ Shopee ต้องรวดเร็ว ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชอบปรับตัวก็เหมาะมาก ๆ Shopee คือคำตอบ (หัวเราะ)”
Shopee ดูจะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน?
“ถูกต้อง รับฟังมาก เรารู้สึกว่าข้อเสนอแนะที่เราให้ไปเขารับฟัง Shopee มีการสำรวจความคิดเห็นพนักงานบ่อยมาก หรือแม้กระทั่งเราทำงานไปสัก 3 อาทิตย์ อาทิตย์ที่ 2 เรารู้สึกไม่สบายใจบอกเจ้านายไป อาทิตย์ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น เสียงของเราค่อนข้างมีความหมายใน Shopee เรื่องงาน ไลฟ์สไตล์การทำงาน หรือเนื้องานเอง เสียงเราค่อนข้างดัง ค่อนข้างมีอิมแพ็ค”
คนที่จะมาทำงานกับ Shopee จำเป็นไหมว่าจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน
“ไม่นะ อย่างที่บอกไปว่า Shopee ค่อนข้างเหมาะกับเด็กจบใหม่ Shopee ค่อนข้างให้โอกาสคน มองว่าทุกคนเรียนรู้ได้ อย่างตอนที่เขารับเราเข้าไป เราจบรัฐศาสตร์ คนที่มาสัมภาษณ์เราก็มองว่าเรามีอะไรบางอย่างที่เขาเชื่อว่าเราจะเรียนรู้ได้ นี่คืออย่างหนึ่งของ Shopee ที่ให้ความสำคัญกับคนอย่างที่บอก เชื่อว่าทุกคนเรียนรู้ได้ พัฒนาได้ แล้วเขาก็ให้เวลาเราด้วยนะ ไม่ใช่มากดดันเราว่าเวลาผ่านไปเท่านี้แล้วทำไมยังทำไม่ได้ เขาจะสอนเรา เข้ามาช่วยเหลือเรา”