มันจะมีคำถามว่า “ฉันจะได้งานหรือไม่ได้งานวะ”เกิดขึ้นในหัวเราตลอดเวลา ภาพตอนที่เราเขียนอีเมลสมัครงานและกด sent ไป หรือภาพตอนที่เรานั่งจ้องหน้าคนสัมภาษณ์งาน flashback ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนหนังอินเดีย การรอคอยแม้จะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แต่มันช่างยาวนานเหมือนนิจนิรันดร์
มันเป็นสภาวะที่เต็มไปด้วยความหวังผสมความกดดัน เป็นความเครียดที่ผสมกับการตั้งคำถามกับตัวเอง
“ทำไมยังไม่โทรกลับมาอีก? ชั้นพูดอะไรผิดไปไหม? เราทำอะไรผิดไปรึเปล่า? จะได้งานไหมเนี่ยยยยย”
ใช่ครับ มันเป็นความรู้สึกโคตรห่วยที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอ เพราะฉะนั้นเราจึงจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเพื่อรับมือกับความรู้สึกนี้ มาดูกันว่าเราจะเอาตัวรอดจากสภาพนี้ยังไงโดยไม่เป็นบ้าไปซะก่อน
ผมบังเอิญไปเจอบทความหลายชิ้นที่พูดถึงวิธีการรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ ทั้งจากเว็บ The interview guys, Career cast และ Medium ซึ่งผมจะสรุปให้ทุกคนได้ฟังกัน
จำไว้นะครับว่านี่คืองาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เขาจะเลือกหรือไม่เลือกเรา หรือจะตอบเร็วตอบช้าอะไร นี่เป็นกระบวนการปกติของงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว การคิดถึงเรื่องนี้หรือวิเคราะห์เรื่องการสมัครสัมภาษณ์งานตลอดเวลา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นบ้า เสียสุขภาพจิตไปเองซะเปล่า ๆ เสียเวลาที่เราจะได้เอาไปทำอย่างอื่นซะเปล่า ๆ และเพื่อที่จะดึงความสนใจไปจากการย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้ เราจึงควร
หาอะไรก็ได้ทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเรา หากิจกรรม งานอดิเรก หรือออกไปเที่ยว ไปหาเพื่อนบ้าง ชวนเพื่อนไปกินข้าว ทำให้ตัวเรายุ่งเข้าไว้ ทั้งกายและใจเพื่อไม่ให้เราหมกหมุ่นอยู่กับการรอไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เครียดด้วยนะจ๊ะ หรือถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็
ไปออกกำลังกายซะ การออกกำลังกายนี่สำคัญมากนะครับ ไม่ว่าเรากำลังอยู่ในสถานะไหน จะว่างงาน กำลังรอมีงาน หรือมีงานทำแล้วก็ตาม การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการดึงดูดความสนใจเราไม่ให้หมกหมุ่นมากเกินไป แถมยังทำให้ทั้งร่างกายและอารมณ์เราแข็งแรงและดีขึ้นได้ด้วย
ถึงแม้ว่าเราควรที่จะไม่ไปจดจ่อกับมันจนเครียดอะนะครับ แต่ว่าก็อย่าลืมติดตามการสมัครหรือสัมภาษณ์งานด้วย คอยเช็คอีเมลเป็นระยะ ๆ อย่าแบบกลับมาเช็คเมลอีกทีแล้วเจอว่าเขาติดต่อกลับมานานแล้ว แต่ถ้าเช็คแล้วยังไม่มีการติดต่อกลับมา ก็ให้ทิ้งระยะห่างหน่อยแล้วส่งเมลไปเช็ค หรือโทรหาเพื่อติดตามผลสักหน่อยก็ไม่น่าเกลียด
ไม่ว่างานนี้จะเป็นงานที่เราอยากทำมากจนตัวสั่นขนาดไหน จะเป็นงานในฝันที่รอคอยจะทำมาทั้งชีวิตก็ตาม แต่ถ้ารอมานานแล้วยังไม่มีสัญญาณตอบกลับอะไรเลยละก็ คำแนะนำก็คือ ทำตัวให้เหมือนฉลามครับ ฉลามไม่เคยหยุดว่ายน้ำ เช่นเดียวกับเราที่ก็อย่าอยู่เฉย ๆ รองานนี้งานเดียว ลองสมัครงานในบริษัทอื่น องค์กรอื่นไปด้วย ยื่นสมัครไปหลาย ๆ ที่ครับ ไม่ต้องกลัวว่าถ้าบริษัทที่รอตอบกลับมาทำยังไง ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวเราในอนาคตครับ
ความรักมีวันหมดอายุ ความทุกข์มีวันสิ้นสุด เช่นเดียวกับการรอคอยครับ รอนาน ๆ ก็อาจจะบั่นทอนหัวใจ อย่าให้นานเกินไป กำหนดเดดไลน์ให้การรอคอยสักหน่อยครับ ตั้งเป้าว่าเราจะรออยู่แค่อาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ถ้ายังไม่มีสัญญาณจากฟ้าอะไรเลยก็ อย่าไปรอครับ เสียเวลา
อย่าหมดกะจิตกะใจจะทำอะไร เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่รอให้เราทำอีกเย๊อะ ถ้ารู้สึกเครียดหรือเศร้าก็ปล่อยให้ตัวเองเศร้าไปครับ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ให้ระลึกอยู่เสมอว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ บอกกับตัวเองว่าให้เวลา 10 นาที 15 นาที แล้วฉันจะหายเศร้าในรอบนี้ เพื่อลุยต่อ จะกลับมาเศร้าอีกก็ไม่เป็นไร ไม่ผิด จะล้มอีกกี่ครั้งก็ได้ แต่อย่าล้มตลอดไป
การหมกหมุ่นกับอะไรบางสิ่งบางอย่างมันไม่ดีหรอกครับ การมานั่งคิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ อยู่ทั้งวันมีแต่จะทำให้เราจิตตก ถ้าจะคิด ให้คิดในแง่ว่าในครั้งนี้เราสามารถเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง เพื่อที่ครั้งหน้าเราจะได้ทำให้มันดีขึ้น
บางทีการรอคอยอะไรนาน ๆ ก็อาจจะทำให้เราเครียด และทำอะไรประหลาดได้นะครับ เช่นการไปโทรจิกที่บริษัท หรือส่งเมลไปเป็น 10 ฉบับเพื่อถามผลเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ การทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เราได้คำตอบเร็วขึ้นหรอกครับ หรือถ้าจะได้คำตอบก็อาจจะเป็นคำตอบที่เราไม่อยากได้ยินก็เป็นได้
อยากที่บอกไปข้างต้นแล้วนะครับว่าอย่าลืมเช็คข่าว ติดตามผลบ้าง ไม่ให้เครียด ไม่ให้หมกหมุ่น ไม่ได้แปลว่าไม่ให้ใส่ใจนะครับ และที่บอกว่าให้ไปเที่ยว ไปหาอะไรทำ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ หรือหายเข้าไปป่าไปเป็นอาทิตย์นะครับ เพราะเดี๋ยวถ้าเขาเรียกเราไปสัมภาษณ์หรือให้เริ่มงานได้เนี่ย จะไปไม่ทัน 555555
การรอนี้อาจจะนานสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ได้งานนั้น ๆ เสมอไป บางบริษัทกระบวนการพิจารณาอาจจะช้ามาก ๆ และถึงเราไม่ได้งานนี้ก็ไม่ได้แปลว่า ชั่วชีวิตนี้เราจะหางานไม่ได้หรอกนะครับ สักวันที่เป็นของเราต้องมาถึงแน่ ขอแค่อย่าหมดหวัง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เขาไม่ติดต่อเรากลับมาสักที ทั้งๆที่เขาบอกอะไรเยอะแยะไปหมดตอนสัมภาษณ์ แต่มันไม่เกี่ยวกับเรา การที่เขาไม่ติดต่อเรามาไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดี แต่เราแค่ไม่เหมาะสมกับงาน กับบริษัทนี้ตามที่เขามองมาก็เท่านั้น ยังมีโอกาสอีกมากที่รอคอยให้เราไปพบเจอ ยังมีงานอีกเยอะที่รอเราอยู่ และไม่แน่มันอาจจะเป็นงานที่นำไปสู่โอกาสอะไรหลาย ๆ ในชีวิตเราก็ได้ก เพราะชีวิตเราไม่ได้มีทางเดินแค่ทางเดียว
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดหลักสูตร “Young SME” สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เน้นเชื่อมโยง Soft Power เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการ หลักสูตร Young…
บุรินทร์เจอนี่ พาไปรู้จักกับแนวคิด Driving People’s Actions ของบริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส จำกัด และการรูปแบบการทำงานในองค์กรที่สอดแทรกความยั่งยืนเข้าไปในทุก ๆ กิจกรรมรอบตัว โดยคุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร…
อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล "ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี" พร้อมอีก 2 รางวัล จากงาน DG Awards 2023 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ดร.…
ฮาคูโฮโด เฟิร์ส ฉลองความสำเร็จครบรอบ 20 ปี เผยกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจจากประสบการณ์และ ความสำเร็จที่เน้นแนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์ของแบรนด์ ด้วยการสร้างพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงโจทย์ Driving People’s Actions คุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท…
พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในพระบรมราชูปถัมภ์ รุ่นที่ 4 แก่ผู้สำเร็จการอบรม 241 คน 27 มิถุนายน 2566, กรุงเทพ:…
ห่างหายไปนานสำหรับคอลัมน์ HiGen by Je Supaluck การกลับมาครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง "ผู้สูงวัย" น่าจะนับได้จากผู้มีอายุ 50 ขึ้นไป (วัยกลางคน) นั่นล่ะคือคนที่เริ่มเข้าสู่คนยุคสูงวัย (HiGen) โดยแท้ ไม่เว้นว่าเป็นหญิงหรือชายนับแต่คริสต์ศักราช…
This website uses cookies.