ไม่แปลกที่สังคมไทยจะตื่นตัว ให้ความสนใจกับเรื่อง “บูลลี่ (bully)”
ยิ่งดูสถิติเรื่องนี้จากกรมสุขภาพจิต จะยิ่งน่าตกใจว่าในปี 2561 มีนักเรียนไทยโดนบูลลี่ในโรงเรียนสูงถึง 600,000 คนหรือคิดเป็น 40% ของนักเรียนในโรงเรียนทั้งหมด ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น
นี่ยังไม่นับการบูลลี่ที่เกิดขึ้นกับคนโต ๆ ในสถานที่ทำงาน และการบูลลี่ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย ที่ส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศทุกวัยจนอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
ข้อเขียนวันนี้ passion gen จึงว่าด้วยเรื่อง “บูลลี่” ล้วน ๆ ตั้งแต่ที่มาของพฤติกรรม ไปจนถึงวิธีรับมือของผู้ที่โดนบูลลี่เพื่อให้สามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้ใหม่ และ วิธีปรับพฤติกรรมของผู้ที่มักบูลลี่คนอื่น
บทความโดยกองบรรณาธิการ Psychology Today เมื่อต้นปี 2019 และวารสารวิชาการของ American National Association of School Psychologists อธิบายว่า บูลลี่เป็นรูปแบบพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของการทำร้ายและทำให้คนอื่นรู้สึกอับอาย เป็นพฤติกรรมที่มุ่งกระทำต่อบุคคลที่อยู่ในสถานะ “อ่อนด้อย” กว่า ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อายุ หรือสถานภาพทางสังคม และพฤติกรรมดังกล่าวแสดงออกได้ทั้งทางกาย วาจา สังคม (แพร่ข่าวลือทางลบปากต่อปากหรือทางใบปลิว) และทางออนไลน์
งานวิจัยทางจิตวิทยาจำนวนมาก ระบุตรงกันว่า พฤติกรรมบูลลี่ “ไม่ใช่พฤติกรรมที่ติดตัวมาแต่กำเนิด” แต่พัฒนาขึ้นในช่วงขวบปีแรก ๆ โดยเฉพาะระหว่างวัยทารกจนถึงวัยก่อนเข้าอนุบาลและพัฒนาอย่างรวดเร็วในวัยอนุบาล ซึ่งถ้าพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูไม่ช่วยปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม พฤติกรรมบูลลี่จะติดตัวเด็กไปจนโตเพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ว่า บูลลี่ ทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ
Victoria Costello นักเขียนด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ The Complete Idiot’s Guide to Child & Adolescent Psychology ร่วมกับ นายแพทย์ Jack C Westman เผยแพร่บทความเรื่อง How a Bully is Made ในเว็บไซต์ mentalhealthmomblog เมื่อปี 2018 อ้างอิงถึงบุตรชายของเธอ ซึ่งเคยเป็นเด็กเรียบร้อยแต่กลายเป็นนักบูลลี่เมื่ออายุ 14 ปี ว่า นอกจากวิธีเลี้ยงดู ซึ่งจิตแพทย์และนักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมบูลลี่แล้ว ยังมีสาเหตุที่ไม่ควรมองข้าม คือ ภาพยนตร์และรายการออนไลน์ต่าง ๆ ที่แสดงพฤติกรรมรุนแรงให้เด็กเลียนแบบ รวมถึงอาการเจ็บป่วยทางจิตในวัยรุ่น เช่น โรคจิตเภทสคิสโซฟรีเนีย (schizophrenia) และโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (antisocial personality disorder) ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม
Mary Lamia ดอกเตอร์ด้านจิตวิทยา เสนอมุมมองที่ต่างไปในบทความ “The psychology of a workplace bully” ของ “The Guardian” เมื่อปี 2018 ว่า ไม่จำเป็นเสมอไปว่านักบูลลี่จะประเมินคุณค่าตัวเองต่ำ เพราะเมื่อพวกเธอ/เขา พัฒนาพฤติกรรมบูลลี่ไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเธอ/เขา อาจรู้สึกภาคภูมิใจที่ผ่าน “ชีวิตขมขื่น” มาได้ด้วยความ “แข็งแกร่ง” ดังนั้น แม้ในทางจิตวิทยา พวกเธอ/เขา จะยังคงรู้สึกอับอายกับชีวิตที่ผ่านมา พวกเธอ/เขา ก็ต้องทำร้ายคนอื่นต่อไปเพื่อหลีกหนีความรู้สึกอับอายที่แสนเจ็บปวดนั้น
ในทัศนะของดอกเตอร์ลาเมีย เมื่อรับมือความรู้สึกอับอาย คนทั่วไปมักแสดงออกใน 4 รูปแบบ คือ ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง หลีกเลี่ยงการรับรู้ และ ถอนตัวจากสถานการณ์ นักบูลลี่ ใช้วิธีแรก และสำหรับนักบูลลี่ผู้รู้สึกว่ากำลังมีการแข่งขันในที่ทำงานแล้วเธอ/เขา ต้องเป็นฝ่ายแพ้ ก็จะเริ่มกลั่นแกล้งคนที่เธอ/เขา เห็นว่าเป็นคู่แข่ง
ในทางจิตวิทยา นักบูลลี่สร้างความอับอายให้คนอื่น ๆ ด้วยการขุดคุ้ยโจมตีจุดอ่อนโดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนนั้น ๆ รู้สึกอับอายอย่างมาก เช่น เรื่องทางเพศ หน้าตา รูปร่าง และฐานะทางเศรษฐกิจ
ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาหลายคนเห็นตรงกันว่า พ่อแม่ โรงเรียน และสถานที่ทำงาน ช่วยแก้ปัญหาบูลลี่ได้ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการบูลลี่ เช่น
ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาแนะนำว่า ใครที่โดนบูลลี่ ต้องอย่าปล่อยตัวเองให้เครียด จงพยายามวิธีจัดการกับความเครียด เช่น บอกเล่าปัญหากับผู้ที่ไว้ใจได้ หรือดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรงเข้าไว้ หรือมองตัวอย่างบุคคลที่เคยโดนกลั่นแกล้งแต่กลับประสบความสำเร็จ เป็นต้น
นักจิตวิทยาเสนอว่า การ “รวมกลุ่ม” สู้กับนักบูลลี่ด้วยการเปิดโปงพฤติกรรมของนักบูลลี่ ไม่ว่าในโรงเรียนหรือสถานที่ทำงาน นอกจากช่วยให้คนโดนบูลลี่ปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้นักบูลลี่เติบโตในทางที่ดี เพราะได้เรียนรู้ความผิดหวังว่าเธอ/เขาไม่สามารถกลั่นแกล้งทำร้ายคนอื่นได้เสมอไป ได้เรียนรู้ว่าคนอื่น ๆ ก็แข็งแรงและมีอำนาจ และได้เรียนรู้ ซึ่งด้านหนึ่งอาจหมายถึงได้ทบทวนประสบการณ์ว่า การถูกกีดกันเป็น “ขยะสังคม” ให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวนั้นเจ็บปวดเพียงใด และการทำตัวเองให้ตกอยู่ในสภาพนั้น หรือทำร้ายคนอื่นให้ตกอยู่ในสภาพนั้น ไม่ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ
บางที เมื่อเจอเข้าจัง ๆ กับตัวเอง นักบูลลี่อาจตระหนักรู้ความผิดพลาด และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดหลักสูตร “Young SME” สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เน้นเชื่อมโยง Soft Power เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการ หลักสูตร Young…
บุรินทร์เจอนี่ พาไปรู้จักกับแนวคิด Driving People’s Actions ของบริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส จำกัด และการรูปแบบการทำงานในองค์กรที่สอดแทรกความยั่งยืนเข้าไปในทุก ๆ กิจกรรมรอบตัว โดยคุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร…
อธิบดีกรมสรรพสามิตรับรางวัล "ผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่นแห่งปี" พร้อมอีก 2 รางวัล จากงาน DG Awards 2023 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ดร.…
ฮาคูโฮโด เฟิร์ส ฉลองความสำเร็จครบรอบ 20 ปี เผยกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจจากประสบการณ์และ ความสำเร็จที่เน้นแนวคิดขับเคลื่อนผลลัพธ์ของแบรนด์ ด้วยการสร้างพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมายที่ตรงโจทย์ Driving People’s Actions คุณชุติมา วิริยะมหากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท…
พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในพระบรมราชูปถัมภ์ รุ่นที่ 4 แก่ผู้สำเร็จการอบรม 241 คน 27 มิถุนายน 2566, กรุงเทพ:…
ห่างหายไปนานสำหรับคอลัมน์ HiGen by Je Supaluck การกลับมาครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง "ผู้สูงวัย" น่าจะนับได้จากผู้มีอายุ 50 ขึ้นไป (วัยกลางคน) นั่นล่ะคือคนที่เริ่มเข้าสู่คนยุคสูงวัย (HiGen) โดยแท้ ไม่เว้นว่าเป็นหญิงหรือชายนับแต่คริสต์ศักราช…
This website uses cookies.