“ทุกครั้งที่บิด ค่ามลพิษเป็นศูนย์” คือหนึ่งในหลายสิ่ง “ว้าว” ที่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้า KRAF Limited Edition แบรนด์ ETRAN ผลงานสตาร์ทอัพ สัญชาติไทย โดยคุณเอิร์ธ “สรณัญช์ ชูฉัตร” จะได้สัมผัส
สภาพการจราจรที่หนาแน่นในเมืองกรุง และการหวนคิดว่า เราทุกคนต้องอยู่และหายใจเอาควันพิษ “ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์” เข้าปอด ทำให้ คุณเอิร์ธ “สรณัญช์ ชูฉัตร” ที่เคยเรียนการออกแบบรถ จากภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรมมาก่อน เลือกนำความรู้ที่มีมาศึกษาวิจัย และผลิตรถจักรยานยนต์ดังกล่าว และได้รับการตอบรับอย่างดี หลังจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มียอดสั่งจองเข้ามาแล้ว 90 คัน และมีกำหนดส่งมอบได้ในต้นปีหน้า
คุณเอิร์ธบอกว่า กรุงเทพมหานครมีพื้นที่ถนนเพียง 7 เปอร์เซนต์ จึงไม่แปลกที่เราเห็นรถแน่นขนัดเต็มท้องถนน และประมาณ 14 เปอร์เซนต์ของก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ในสภาพอากาศก็เป็นผลมาจากการขนส่งจราจรนี่เอง เพราะเราใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน
นอกจากนี้ สำหรับคนเมืองแล้ว หนึ่งในค่าใช้จ่ายก้อนโตของเราทุกคน คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง เขาจึงคิดว่า หากสามารถพัฒนา และผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เป็นทางเลือกให้ผู้คนได้ใช้กัน จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นั่นคือ
1. ช่วยลดค่าใช้จ่ายแก่คนเมือง
โดยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าว เมื่อชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ใช้เวลาชาร์จแค่ 1-2 ชั่วโมงก็ได้แบตเต็มลูก สามารถวิ่งได้ระยะทาง 180 กิโลเมตร ด้วยต้นทุนการชาร์จครั้งละ 10 บาท หรือเท่ากับ 0.04 บาทต่อการวิ่งเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร
2. ช่วยลดมลพิษในอากาศ
จากการใช้พลังงานสะอาดนี้ โดยเปรียบเทียบว่า รถใช้น้ำมันจะปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศที่ 45 กรัมต่อการวิ่งเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร ถ้าใช้รถวิ่งเป็นระยะทาง 50 กิโลกรัมต่อวัน จะมีการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับ 2 กิโลกรัมต่อวัน ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนราว 22 ล้านคัน หากรถเหล่านี้วิ่งวันละ 50 กิโลเมตร ก็จะปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศวันละ 5 หมื่นตัน หรือปีละ 18 ล้านตัน !!!!
ในมุมมองของคุณเอิร์ธ คนไทยมีความสามารถและประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกรถจักรยานยนต์อันดับ 6 ของโลก ดังนั้น ชิ้นส่วนต่างๆ เราสามารถผลิตได้ เพราะมีองค์ความรู้ แต่การประกอบเป็นรถทั้งคัน ยังหาคนทำได้น้อยมาก เขาจึงคิดจับตลาดนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตลาดรถไฟฟ้า ที่กำลังเป็นจริงในทุกพื้นที่ทั่วโลกจากภาวะวิกฤตด้านสภาพอากาศที่คนทั้งโลกเผชิญกันอยู่
ประเทศไทยเอง โดยกระทรวงพลังงาน ก็มีการตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2579 จะมีรถ “ไฟฟ้า” วิ่งบนท้องถนน อย่างน้อย 1.2 ล้านคัน คุณเอิร์ธบอกว่า หากสิ่งที่เขาคิดค้นพัฒนาและผลิตออกมา มีส่วนช่วยลดมลพิษในอากาศลงได้สักหนึ่งเปอร์เซนต์เขาก็พอใจแล้ว
การกำหนดรายละเอียดในแต่ละจุดของรถเป็นไปอย่างพิถีพิถัน คำนึงถึงประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ใช้ เช่น มอเตอร์เป็นแบบ in wheel motor ขนาด 7 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่ากับ 150 ซีซี ซึ่งในแง่การใช้งานในเมือง เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอในการทำความเร็วแล้ว สำหรับแบตเตอรี ตัวจ่ายพลัง ก็เลือกใช้ แบตเตอรี ลิเทียม แมงกานีสออกไซด์ แบบเดียวกับที่ใช้ในรถ นิสสัน ลีฟ การันตีได้ทั้งในแง่ความปลอดภัยและการประหยัด
ขณะที่หัวชาร์จที่อยู่บนตัวถังรถ เป็นแบบ Euro Type 2 ทำให้สามารถนำไปชาร์จไฟกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน รวมถึงในห้างสรรพสินค้าบางแห่ง โดยมีการพัฒนาระบบฟาสต์ชาร์จ จึงชาร์จแบตฯ เต็มลูกได้ในเวลาเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น และในส่วนของแบตเตอรี่นั้น ก็ถอดออกได้ ทำให้เปลี่ยนเอาแบตฯ ที่เต็มมาใส่แทนได้ รวมถึงยังมีแบบหัวปลั๊กให้ชาร์จกับไฟที่บ้านได้ สะดวกสบายทุกอย่าง
ยังมีการติดตั้ง Regenerative Brake ไว้ ทำให้ทุกครั้งที่เบรกรถ ก็จะมีการชาร์จไฟกลับเข้ามาในแบตเตอรี และเหนือสิ่งอื่นใด ชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบเป็นตัวรถ ก็ทำมาจากวัสดุทีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั่นก็คือ เป็น “ไบโอพลาสติก” ที่ทำมาจากเส้นใยสับประรด โดยใช้มากถึง 52 เปอร์เซนต์ของชิ้นส่วนรถ ที่เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ เพราะเขาหวังว่า เมื่อชิ้นส่วนเหล่านี้กลายเป็นขยะในที่สุด จะไม่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ใช้น้ำมันทั่วไป
นอกจากนี้ ทางผู้ผลิตยังให้ความสำคัญกับการออกแบบ เพื่อให้เป็นรถที่ผู้ใช้ จะ “ภาคภูมิใจ” ได้ คุณเอิร์ธอธิบายว่า “เพราะสำหรับใครหลายคนรถก็เป็นเครื่องประดับฐานะ” ไม่เพียงเท่านั้น เขายังตั้งใจดูแลเรื่องบริการหลังการขาย โดยขณะนี้ได้เตรียมจัดทำแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ผู้ใช้งานแจ้งเรื่องเข้ามา เมื่อรถเสีย หรือติดขัดใดๆ เพื่อให้ทีมบริการเข้าช่วยเหลือได้ ณ พื้นที่ที่เกิดเหตุ ถือเป็นการเข้าหาลูกค้าผู้ใช้บริการ ใส่ใจกับความต้องการและทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งานมากที่สุด
คนหนุ่มที่มุ่งมั่นจริงจัง และแปลงฝันให้เป็นการลงมือทำเมื่อ 4 ปีก่อน (2016) ยังมีแผนก้าวไปข้างหน้า หาแนวทางว่าจะพัฒนายานพาหนะไฟฟ้าให้ออกมาในรูปแบบใดได้อีกบ้าง เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
Category: