เพราะว่าเราเป็นมนุษย์และมนุษย์ก็ปรารถนาที่จะมีความสุขในทุก ๆ ขณะของชีวิต แต่กระนั้นเราก็หลีกเลี่ยงความทุกข์กันไม่ได้ ความสุขและความทุกข์ต่างเป็นส่วนประกอบสร้างตัวตนของความเป็นมนุษย์ขึ้น แค่เริ่มเดินออกจากบ้านความทุกข์ก็วิ่งพุ่งเข้าหาราวกับเราเป็นคู่แท้ที่หากันเจอ รถติด มลพิษเยอะ แท็กซี่ไม่รับ รถเมล์ไม่มา รถไฟฟ้าเสีย คนแซงคิว ฟุตบาธพัง ของแพง เศรษฐกิจไม่ดี สารพัดสารพันปัญหาที่ถาโถมเข้ามาใส่ แต่ความสุขก็ไม่ยากที่จะตามหา เหมือนที่เราต่างตามหาความรักและสุดท้ายก็เจอ
ความสุขไม่เพียงจะทำให้เรามีชีวิตที่ดี มีรอยยิ้ม สดชื่น กระชุ่มกระชวย ทำอะไรก็น่ายินดีปรีดาไปเสียทั้งหมด แต่ความสุขยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน การทำงาน เมื่อเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ผลของมันย่อมออกมาดีตามไปด้วย และเมื่อการทำงานกินเวลากว่าค่อนชีวิต เพราะฉะนั้นการทำงานอย่างมีความสุขจึงสำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งต่อตัวเราเองและต่อองค์กรบริษัทที่เราทำงานอยู่
สิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะทำต่อไปนี้ ไม่ใช่การเขียนคู่มือ “ทำอย่างไรให้มีความสุข” หรือมาแนะนำวิธีการสร้างความสุขแต่อย่างใด เพราะความสุขของแต่ละคนแตกต่างกัน ความสุขของบางคนอาจจะขึ้นอยู่กับจำนวนตัวเลขในบัญชี บางคนความสุขเกิดขึ้นได้จากการทำงานที่รัก หรือความสุขก็เกิดขึ้นง่าย ๆ ในชั่วขณะที่ตักอาหารใส่ปาก ผู้เขียนคงมิบังอาจมาชี้นำท่านผู้อ่านว่าความสุขของเราๆ ท่านๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะบอกเล่า คือ เรื่องราวของความเอิ้ออารีที่จะสร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง โดยผู้เขียนได้หยิบยกและสรุปประเด็นหนึ่งที่อยู่ใน “รายงานเจาะเทรนด์ 2020” ของ TCDC มาบอกเก้าเล่าสิบให้ผู้อ่านได้เรียนรู้กัน
ความสุขสำคัญไฉน
ความสุขที่เรากำลังจะพูดถึงกันอยู่นี้ไม่ใช่ความสุขในเชิงศาสนา แต่เรากำลังพูดถึงความสุขในทางโลกที่ช่วยทำให้สุขภาวะทางอารมณ์ของเราสมบูรณ์พร้อม ทำให้เราไม่เจ็บป่วยทั้งร่างกายและสภาพจิตใจ ความสุขยังช่วยให้เรามีความฉลาดทางอารมณ์เพิ่มขึ้น ช่วยเหลาทักษะการเข้าสังคมให้แหลมคมมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่ความสุขได้สร้างขึ้นก็จะกลับมาช่วยสร้างความสุขให้เราอีกทอด และจะกลายเป็นวงจรแห่งความสุขที่ช่วยสนับสนุนให้เรามีความสุขต่อไปเรื่อยๆ
รายงาน World Happiness Report 2019 โดย Sustainable Development Solutions Network (UNSDSN) ภายใต้องค์การสหประชาชาติ ซึ่งสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้คนจากประเทศต่างๆ เพื่อศึกษาตัวแปรอันจะนำไปสู่ความสุข ความสุขได้กลายมาเป็นข้อบ่งชี้รัฐบาล หรือเกณฑ์วัดความสำเร็จของประเทศต่างๆ ที่ก้าวหน้ามากกว่าแค่เรื่องของ GDP สังคมนั้นพัฒนาแค่ไหน ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ดูเหมือนว่านอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง ความสุขก็เป็นอีกเรื่องที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญที่เผลอๆ อาจจะมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจเสียด้วยซ้ำ (อนึ่ง เศรษฐกิจที่ดีและท้องที่อิ่มก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน) และดูเหมือนว่า
หนึ่งในตัวแปรที่สำคัญในการวัดความสุขของ UNSDSN คือเรื่องของการมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีต่อกันของคนในสังคมและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แปลว่าทักษะการเข้าสังคม มิตรภาพ ไมตรีจิต และความอาทรซึ่งกันและกัน สามารถสร้างความสุขให้กับมนุษย์และส่งผลในทางบวกแก่สังคม ทำให้สังคมโดยรวมดีขึ้นได้นั่นเอง
หันมาใส่ใจกับความสุข
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงาน จากรายงานเจาะเทรนด์โลก 2020 ของ TDCD โดยอ้างอิงการศึกษาจากองค์กรไม่แสวงกำไร Kindlab ระบุว่าความเอื้ออารีส่งผลให้มนุษย์มีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดี ซึ่งมหาวิทยาลัยวอร์ริคในอังกฤษศึกษาพบว่าพนักงานที่มีความสุขจะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้นถึง 12% แสดงให้เห็นว่าความสุขนอกเหนือจากจะทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสำหรับเจ้านายแล้วนั่นหมายถึงความเจริญก้าวหน้าของบริษัทที่ตามมาอีกด้วย
ในรายงานฉบับเดียวกันของ TCDC ได้ยกตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่ใส่ใจกับสุขภาวะทางอารมณ์ของพนักงาน และเชื่อว่าความเอื้ออารีจะช่วยให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน บริษัท Mercedez-Benz ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีกลยุทธ์ในการพัฒนาพนักงานผ่านการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ “ความเอื้ออารีเป็นการส่งต่อ (Kindness is Contagious)”
จากการศึกษาของบริษัทพบว่า 70% ของพนักงานไม่มีโอกาสได้ขับรถยนต์ของแบรนด์ที่ตัวเองจำหน่าย บริษัทจึงริเริ่มโปรแกรมที่ให้พนักงานสามารถหยิบยืมรถยนต์ของแบรนด์ไปขับขี่ได้ฟรี 48 ชั่วโมง ผลคือพนักงานได้มีโอกาสได้รู้จักกับรถยนต์ที่ตนจำหน่ายมากขึ้น และช่วยแนะนำให้ลูกค้ารู้จักกับรถยนต์ได้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นการส่งต่อความทรงจำและประสบการณ์ดีๆ ที่พนักงานได้รับและถ่ายทอดให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือพนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทและมีความภาคภูมิใจกับงานที่ทำ ความเอื้ออารีที่ถูกส่งต่อจากบริษัทถึงพนักงานและถึงลูกค้าได้สร้างความสุขที่ถูกส่งผ่านต่อเป็นทอด ๆ เมื่อพนักงานมีความสุขย่อมบริการลูกค้าได้ดีขึ้นและส่งผ่านพลังงานบวกแก่ลูกค้า ทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้บริโภคและเติบโตขึ้นบนพื้นฐานของความอารีและความสุขที่ถูกส่งต่อมา
เมื่อคนเรามีความสุข เราก็มักจะเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนรอบข้างและใส่ใจกับผู้คนรอบตัวมากกว่าเดิม
เช่นเดียวกับพนักงานที่มีความสุข พวกเขาจะใส่ใจกับบริษัทมากขึ้นและต้องการที่จะผลักดันเป้าหมายของบริษัทให้สำเร็จ ความสุขนำไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์ที่มากขึ้น พนักงานที่มีความสุขจะใส่ใจกับความต้องการของลูกค้ามากเป็นพิเศษ และตื่นตัวมากขึ้นกับกระบวนการทำงานรวมถึงระบบของบริษัท ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก่อให้เกิดผลผลิตและผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากสิ่งดี ๆ ที่เริ่มต้นจากพนักงาน
ความสุขในการทำงานยังทำให้พนักงานมีความจงรักภักดีต่อองค์กรมากขึ้น ความจงรักภักดีต่อองค์กรหรือบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ มันหมายถึงความรู้สึกเคารพต่อองค์กร เต็มใจที่จะทำงานและอุทิศตนเพื่อองค์กร มีความผูกผัน มีความภูมิใจ รู้สึกเป็นเจ้าของ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและต้องการทำให้องค์กรที่พวกเขารัก พัฒนาและมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
นอกจากนี้พนักงานที่มีความสุขย่อมต้องการที่จะอยู่กับนายจ้างในระยะยาว ซึ่งหมายถึงเวลาและเงินที่ใช้ไปกับการจ้างงานและการฝึกอบรมพนักงานใหม่น้อยลงด้วย จากการศึกษาของ Boston Consulting Group พบว่า
สิ่งหนึ่งที่ผู้คนต้องการจากการทำงาน คือ การได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าในผลงานที่พวกเขาทำ ใครกันที่จะมองหางานใหม่ในเมื่อพวกเขามีความสุขกับงานที่ทำและได้รับการยอมรับในคุณค่าของผลงานที่พวกเขาทำ
ความสุขเป็นสิ่งที่ส่งต่อได้ พนักงานที่มีความสุขจะปล่อยพลังงานบวกให้เพื่อนร่วมงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความสุขในที่ทำงาน เมื่อพนักงานมีความสุขและมีทัศนคติที่ดีก็มีแนวโน้มที่จะเต็มใจสนับสนุนให้เพื่อนร่วมงานบรรลุเป้าหมายการทำงานของบริษัท และสิ่งที่สำคัญมากที่ตามมาเมื่อพนักงานมีความสุข คือ การที่พวกเขากล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานเมื่อต้องการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลการผลิตของบริษัทได้ เพราะพนักงานหลายคนรู้สึกเขินอายเกินกว่าจะขอการสนับสนุนเมื่อพวกเขาต้องการ
การมีความสุขในการทำงานยังหมายถึงพนักงานที่มีสุขภาพดี ความเครียดจากการทำงานนอกจากจะส่งผลในเชิงลบกับสุขภาพจิตของพนักงานแล้ว ยังส่งผลกับสุขภาพร่างกายของพนักงานอีกด้วย จากสถิติที่เปิดเผยโดยหน่วยงานด้านสุขภาพของ Safe Work Australia ระบุว่ามีชาวออสเตรเลียมากกว่า 7,500 คน เรียกร้องค่าชดเชยสำหรับความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากการทำงานในแต่ละปีประมาณ 480 ล้านดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น มีพนักงานที่ต้องป่วยจากภาวะซึมเศร้าอันเนื่องมาจากความเครียดในการทำงานมากกว่า 20 วันต่อเดือน
สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงานของพนักงานหรือลูกค้า ก็คือ ความสุขของพนักงาน เพราะงานจะออกมาดีหรือลูกค้าจะพึงพอใจหรือไม่ มาจากการทำงานอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพของลูกค้า
ถ้าอยากให้บริษัทของคุณเติบโตและเต็มไปด้วยผลกำไร ลองหันกลับมาใส่ใจพนักงานให้มากขึ้น สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีให้พนักงานของคุณมีความสุขที่สุด ไม่แน่ผลประกอบการของคุณอาจจะเขยิบตัวสูงก็ได้นะ
ไม่ผิดที่เราอยากจะมีความสุข
ในบางครั้งที่คนเราเจอปัญหารุมเร้าและมองไม่เห็นทางออก ความสุขที่เคยมีหายไปราวกับไม่มีเคยมีอยู่ เราอาจจะต้องการใครสักคนเป็นที่ระบายและให้คำปรึกษา “The School of Life” บริการทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คำปรึกษาและออกแบบทางออกให้กับชีวิต เราสามารถถึงเข้าไปในร้านเพื่อระบายปัญหาที่หนักอกหนักใจ โดยพนักงานจะแนะนำหนังสือดี ๆ สักเล่ม หรือคอร์สอบรมที่มีประโยชน์ ช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาตัวร้ายและเชิดหน้าขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับมันได้
หรือถ้าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ลองหันหลังกลับไปมองคนที่อยู่รอบตัว บ่อยครั้งที่เรามักจะมองหาคนที่เราต้องการจนลืมมองกลับไปหาคนใกล้ตัวที่ไม่เคยทิ้งเราไปไหน ครอบครัว เพื่อนสนิท หรือใครสักคนในชีวิตที่เราลืมนึกถึง หรือถ้าความทุกข์และปัญหาที่เราเผชิญหน้ามันยากเกินจะรับมือ ลองไปปรึกษาจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญดู ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองว่าเราบ้า เพราะตอนที่เรามีปัญหาพวกเขาไปอยู่ไหนกันล่ะ
แม้ความสุขจะเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนปัจจัย 4 ที่เป็นรูปธรรม แต่ความสุขก็เป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์ปรารถนาและโหยหามันมาตลอดทั้งชีวิต ความสุขไม่ได้ยากเกินจะไขว่คว้าและความทุกข์เองก็ไม่ได้ยากเกิดจะรับมือ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา และขอยืนเคียงข้างร่วมกับใครก็ตามที่รู้โดดเดี่ยวและเหนื่อยหน่ายกับชีวิต เราจะต่อสู้กับความทุกข์และไล่ตามหาความสุขไปด้วยกัน ผู้เขียนคร่ขออนุญาตแนะนำภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องหนึ่ง “Hector and the Search for Happiness” ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยช่วยให้ผู้เขียนตามหาความสุขจนเจอในที่สุด และหวังว่าท่านผู้อ่านจะตามหาความสุขของตัวจนเจอในเร็ววัน
“ We all have an obligation to be happy. ”
เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะมีความสุข
– Hector and the Search for Happiness –
Category: