เมื่อปี 2013 เขาก็พบแล้วว่าโลกร้อนนี่มันเป็นเรื่องจริง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันเป็นเรื่องจริง น้ำแข็งละลายจริงทั่วโลก จึงเกิดการตกลงกัน เกิดเป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งหมด 17 ข้อ เรียกย่อๆ ว่า SDG ซึ่งครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ สันติภาพ ความยุติธรรม

ตอนนั้น ก็ประมาณการไว้ว่า โลกของเราร้อนขึ้นแล้ว 1 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งคิดว่าโลกของเรานั้นคงจะทนได้สัก 2 องศาเซลเซียส และคาดการณ์ไว้ว่าโลกจะร้อนขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสในปี 2050

ปัญหาของเรื่อง คือ พอถึงปี 2561 พบว่า แค่ร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของภัยธรรมชาติมันเกิดรุนแรงมากอย่างที่คาดไม่ถึงมาก่อน จึงมีการปรับตัวเลขใหม่ คณะกรรมการหรือคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ บอกว่า ไม่ได้แล้ว ที่เราจะไปใจเย็น ให้โลกร้อนถึง 2 องศาเซลเซียส ไม่ทันแล้ว โลกของเราอาจจะทนได้ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งกำลังจะมาถึงในปี 2030 คืออีก 10 ปีข้างหน้านี้เอง

มันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และที่ตอนนี้มี COVID -19 มันเกี่ยวข้องกับเรื่องสภาวะโลกร้อน หมายถึงว่า โอกาสของการจะมีไวรัสตัวใหม่ๆ เชื้อโรคใหม่ๆ มันจะมามากขึ้น เพราะไวรัสจำนวนมากจะถูกแช่แข็งไว้ที่ขั้วโลก และใต้แผ่นน้ำแข็งต่างๆ ธารน้ำแข็งต่างๆ ซากพืชซากสัตว์ที่เคยตายไปสมัยน้ำแข็งมันก็อุ่นขึ้น ไวรัสที่มันหลับไปแสนปี หลายแสนปี มันตื่นมาใหม่ และนี่แหละครับ มันก็จะย้อนมาถึงตัวเรา รวมถึง PM2.5 ด้วย

ปกติ PM2.5 ส่วนใหญ่เกิดจากจราจร รถมอเตอร์ไซด์ 2 จังหวะมากที่สุด และการเผาของมนุษย์นี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญ ว่าง่ายๆ คือ มันมาด้วยกันกับเรื่อง คาร์บอนไดออกไซด์ รถยนต์ที่เราใช้ เราใช้เชื้อเพลิงที่เรียกว่า เชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์ มันคือนำคาร์บอน 100 ล้านปีมาใช้ โดยจุดระเบิดเป็นพลังงานแล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ในปี 2573 ในโลกยังอยู่กันได้ แต่ว่าภัยธรรมชาติจะเกิดเยอะมาก ที่สำคัญคือ มันถึงจุดที่เรียกว่า อาจจะสายเกินไป เมื่อคิดได้ มันแก้ไม่ทันแล้ว

เพราะพอโลกร้อนขึ้นก็จะเกิดไฟป่าง่ายขึ้น เห็นไหมครับ ไฟป่าเกิดขึ้นถี่เลย แล้วไฟป่ามีผลให้ต้นไม้ที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็หายไปอย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่เกิดไฟป่าก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ตอนนี้ มีเทนโบราณ มีเทนล้านปี ที่เคยถูกเก็บใต้แผ่นน้ำแข็ง พอน้ำแข็งละลาย มีเทนก็ถูกปลดปล่อยโดยตรงสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อน มันก็จะทวีคูณมากยิ่งขึ้น

และความร้ายแรงของมีเทนคือ มันมีผลทำให้โลกร้อนรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 25-30 เท่า ผมถึงบอกว่า เราใจเย็นไม่ได้ เพราะเมื่อมันมาแล้วมันจะมาเร็วมาก วัฎจักรมันจะหมุนไปในทางที่หยุดไม่ได้เลย ถ้ามัวแต่ใจเย็นกันอยู่ พอถึงปี 2030 หรือปี 2573 มันจะไปถึงจุดที่แม้ว่ายังอยู่ได้ แต่มันจะแก้ไขไม่ทันแล้ว

————————————————–

In 2013 or 7 years ago, global warming has been accepted as a truth, Including climate change and polar ice melting. These led to the creation of 17 Sustainable Development Goals or SDGs in short which covering environment, society, inequality, economy, peace and justice. At that time, world’s temperature was projected for 1 degree Celsius rise compared to 100 years ago. World was believed to withstand for 2 degree Celsius increase, which was projected to occur in the year 2050. The problem is, in B.E. 2561, just 1 degree Celsius rise, world faced unexpected severe natural catastrophes. This led to the adjustment of figure, UN’s Committee on Climate Change said we should not chill out and let the world warmer by 2 degree Celsius rise. It might be too late. World is believed to bear for only 1.5 degree Celsius rise, which is likely to reach in the year 2030 or 10 years ahead. The catastrophe will be more severe. Now, it added up with COVID-19. It linked with global warming problem. That mean it is possibility for novel viruses to emerge. New diseases will occur more and more. Numerous viruses frozen under ice sheets at polar regions, Ice sheets and glaciers, fossil beneath there since the Ice Age were warmed up, hundred thousand sleeping viruses awaken up and hit us. PM 2.5 too. P.M.2.5 are from traffic, mostly by 2-stroke motorcycles. Incineration from human activities is the main route of problem. This comes along with carbon dioxide emission. Our vehicles empowered with fossil fuel. This means we brought back 100 million years carbon to ignite, empower vehicle, and release carbon dioxide to the atmosphere. World in B.E. 2573 still remains livable place but we will face frequent natural catastrophes, and we might reach the point that could not turn back. We may realize, but it is too late to solve. Global warming facilitates for wildfire to occur, as we experienced frequently. Wildfire also exposed negative impact on forest tree by devastating them. And wildfire also led to increasing carbon dioxide emission. Now, ancient methane, or millions of years methane beneath the ice sheet melted and released to the atmosphere. Global warming will worsen this situation. Methane made global warming more severe than that caused by carbon dioxide emission by 50 times. So, we should not chill out. When it occurs, it will occur in quick pace. And that cycle could not be stopped. If we remained do nothing, when it is the year 2030 or B.E. 2573, we could not solve anything.

Passion in this story