คนไทยมีวิถีชีวิตที่เกี่ยวพันกับสายน้ำมาอย่างยาวนาน เราใช้สายน้ำในการดำรงชีวิตทั้งการอุปโภค บริโภค เส้นทางสัญจร การอยู่อาศัยและการประกอบสัมมาอาชีพ
ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของสายน้ำและขอขมาที่ล่วงเกินด้วยการทิ้งสิ่งสกปรกลงแม่น้ำลำคลอง ชาวไทยจึงได้จัดประเพณี “ลอยกระทง” ขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 หรือวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงงดงามที่สุด และน้ำสมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบัน ประเพณีลอยกระทงถือเป็นประเพณีเก่าแก่และสืบทอดกันมายาวนาน จนกลายเป็นมรดกวัฒนธรรมชิ้นสำคัญของไทย
ตำนานลอยกระทง มรดกวัฒนธรรมไทย
ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีการสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยใด
แต่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำรับนางนพมาศ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศได้ประดิษฐ์โคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท ประดับด้วยประทีปหรือน้ำมันจากไขโค เรียกว่าน้ำมันเปรียง เพื่อจุดบูชาในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งชาวไทยทุกชนชั้นตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงชาวบ้าน จะมีพิธีบูชาแม่น้ำ หรือขอขมาแม่น้ำ นายบุญชัย ทองเจริญบัวงาม ผู้ทรงคุณวุฒิอำนวยการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เล่าถึงที่มาของประเพณีลอยกระทงกับ Passiongen
กระทงวิถีพุทธ-วิถีพราหมณ์
ในการประดิษฐ์กระทงของชาวไทยสมัยก่อน นิยมทำเป็นกระทงกลีบ ทรงดอกบัวสอดคล้องกับตำนานที่ว่านางนพมาศประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกโกมุท หรือดอกบัวที่บานรับแสงพระจันทร์ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ โดยใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่น เช่น ต้นกล้วย กาบกล้วย ซึ่งเป็นวัสดุที่ลอยน้ำได้ ส่วนกลีบกระทง นิยมใช้ใบตอง หรือใบไม้อื่นๆ เช่น ในช่วงเดือน 12 ใบกระท้อนจะมีสีแดง ก็จะนิยมนำมาพับเป็นกลีบกระทงด้วยเช่นกัน
สำหรับประเภทของกระทง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ กระทงตามความเชื่อทางพุทธศาสนา และกระทงตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งกระทงตามความเชื่อทางศาสนาพุทธ นิยมบรรจุดอกไม้ ธูป เทียน เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับไว้ ณ หาดทรายริมฝั่งนัมมทานที ซึ่งปัจจุบันคือ แม่น้ำเนรพุททา ในประเทศอินเดีย
ส่วนกระทงตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ นิยมใส่ดอกไม้ ธูป เทียน หมาก พลู และข้าวตอก เพื่อบูชาพระเจ้า 3 พระองค์ ก็คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อกันว่า เป็นการลอยเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ดังนั้นผู้ลอยจึงต้องตัดผม เล็บมือ เล็บเท้า ใส่ลงในกระทงให้พ้นเคราะห์ พ้นโศก รวมถึงใส่ปัจจัยเพื่อเป็นการให้ทาน
ชวนชาวไทยสืบสานประเพณีและดูแลสิ่งแวดล้อม
“การลอยกระทงในปัจจุบัน มีความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง อย่างเรื่องการนำกระทงแบบพุทธและแบบพราหมณ์มารวมเข้าด้วยกัน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า การลอยกระทงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท จึงได้ใส่เล็บมือ เล็บเท้าลงไปด้วย ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงอยากให้คนทั่วไปได้รู้ความหมายของกระทงแต่ละแบบ”
นอกจากนี้ รูปแบบของกระทงสมัยก่อนกับปัจจุบัน ก็จะแตกต่างกันตามยุคสมัย กระแสวัฒนธรรม และสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งสมัยก่อนกระทงจะทำจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งย่อยสลายง่าย ยุคต่อมามีการใช้โฟมและ กระดาษเพราะหาง่าย ราคาไม่แพง ปัจจุบันคนเริ่มเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติจึงได้กลับมาได้รับความนิยม รวมถึงกระทงที่ย่อยสลายง่าย ไม่ทำลายธรรมชาติ อย่าง กระทงขนมปัง กระทงจากน้ำแข็ง ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
“ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีที่ดีงาม ที่เราต้องรักษาไว้ให้คงอยู่ต่อไป พร้อมๆ กับการที่เราต้องร่วมกับดูแลรักษาแม่น้ำลำคลองให้สะอาด เพื่อให้ธรรมชาติยังคงความงามอยู่เช่นเดิม สำหรับใครที่จะไปลอยกระทง ผมแนะนำว่า 1 ครอบครัวต่อ 1 กระทงก็พอ และกระทงไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ แค่ใบเล็กๆ ก็ลอยได้ เพราะถึงอย่างไร กระทงมันงามในความหมาย และใสซื่อกับจารีตวัฒนธรรม และอยู่ร่วมกันได้กับวิถีสังคมปัจจุบัน” บุญชัยกล่าวทิ้งท้าย
Category: