นักธุรกิจและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติราวร้อยคน เข้าร่วมงานสัมมนาภายใต้ชื่อ Thailand’s Eastern Economic Corridor “Experience the Exclusive Possibilities for your Business in the EEC” จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับ หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรรศการ (TCEB) เมื่อเร็ว ๆ นี้
โดยนักลงทุนมองว่าพื้นที่ EEC มีศักยภาพสูง โดยนักลงทุนพร้อมเตรียมลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกิดขึ้นในยุคโควิด
นายสแตนลีย์ คัง ประธาน JFCCT กล่าวว่า การค้าการลงทุนในประเทศไทยยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และนักธุรกิจต่างประเทศต้องการค้าขายกับประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนใหม่ ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศมีกฎหมายเสริมการลงทุนที่ชัดเจน
“พื้นที่ EEC ขณะนี้กำลังมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก และมีธุรกิจที่เข้ามาลงทุนแล้ว เช่น ธุรกิจยานยนต์ อิเลคทรอนิคส์ อาหารและการเกษตร และการแพทย์ และเชื่อว่าในอนาคตจะมีธุรกิจด้านบริการจะเข้ามาเพิ่มขึ้น”
สำหรับหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นหอการค้าทั้งหมด 34 หอการค้า โดยมีสมาชิกภายในหอการค้ารวมทั้งประมาณ 9,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจการผลิต บริการ และอื่น ๆ
นายสแตนลีย์ คัง อยากเสนอให้รัฐบาลเพิ่มความโปร่งใสในการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุน ควรมีระบบบ E-government อย่างจริงจัง ซึ่งต่างชาติจะให้ความสำคัญค่อนข้างมาก นอกจากนี้ จะต้องเน้นเรื่องความเร็วในการจัดการและการพัฒนาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สถานการณ์โควิดที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้สกพอ.ปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ให้ความสำคัญ s-curve ทั้ง 12 อุตสาหกรรม แต่ตอนนี้โฟกัสเฉพาะบางอุตสาหกรรมที่มีโอกาสสูง เช่น สุขภาพและการแพทย์ ภายใต้อุตสาหกรรมนี้มีธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจอาหาร การเกษตร รวมถึงระบบการขนส่งและกระจายสินค้า เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะสามารถรองรับการลงทุนใหม่ ๆ ในส่วนนี้ได้
Category: