ใครจะเชื่อว่าเภสัชกรร้านขายยาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในสยามเซ็นเตอร์วันหนึ่งจะขึ้นมาผงาดเป็นเจ้าของแบรนด์เวชสำอางชื่อดังที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Smooth E และนอกจากนั้นยังขยับเข้าไปสู่ธุรกิจยาสีฟันที่โด่งดังไปยังต่างประเทศอย่างแบรนด์ Dentiste อีกด้วยใช่แล้วคนที่เราเอ่ยถึงอยู่คณะนี้ก็คือ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ชายผู้นี้ไม่ใช่เพียงเจ้าของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จทั้งสองแบรนด์นี้เท่านั้นแต่เขาผู้นี้ยังเป็นคนที่สร้างคนให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจได้อีกด้วย ดร.แสงสุข ทำอย่างไรถึงผลักดันแบรนด์สินค้าทั้งสองนี้ให้ประสบความสำเร็จได้มาค้นหาคำตอบกัน

วินาทีที่เจอวิกฤต คือ วินาทีเดียวกันกับที่พบโอกาส

“การทำ Marketing ก็คือการทำบางสิ่งกับกิเลสตัณหาของมนุษย์เกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของผู้คนซึ่งถ้าคุณสามารถเข้าถึงกิเลสตัณหาของผู้คนได้อย่างลึกซึ้งคุณก็จะเข้าใจทันทีว่าผู้คนต้องการอะไรนักการตลาดแบบธรรมดาจะเข้าถึงเพียงแต่เรื่องของตาหู จมูก ลิ้น กาย ของผู้คนเท่านั้นแต่นักการตลาดชั้นสุดยอดจะเน้นเข้าถึงเรื่องใจของผู้คนดังนั้นถ้าคุณสร้างรับรู้ทางใจให้กับผู้คนได้แบรนด์คุณก็จะเกิด”
ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

หลังจากเรียนจบเภสัชจาก ม.เชียงใหม่ ดร.แสงสุข ก็เริ่มเป็นเซลล์ขายยารักษาโรคในภาคตะวันออกและภาคอีสานหลังจากทำงานได้สักพักก็กลับมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียน่าประเทศสหรัฐอเมริกาจบมาก็มาทำงานอยู่บริษัทขายยาสักพักใหญ่ ๆ ก็ลาออกแล้วมาเปิดร้านขายยาของตัวเองที่ศูนย์การค้าสยามรายได้จากกิจการก็ไปได้สวยแต่สุดท้ายก็มีเหตุที่จะต้องปิดไปเพราะทางห้างขอพื้นที่เช่าคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นหลายคนอาจมองว่าเป็นโชคร้าย ดร.แสงสุข เองก็คิดเช่นนั้นแต่สำหรับภรรยาของ ดร.แสงสุขกลับมองว่านั่นคือ “โอกาส” จึงให้กำลังใจสามีในการเดินลุยต่อไปโดยบอกสามีว่า “เขาคงอยากให้พี่ไปรวยกว่านี้” กำลังใจและมุมมองที่ดีทำให้ ดร.แสงสุขไม่ท้อและเดินหน้าต่อไป ดร.แสงสุข จึงหันมาทำธุรกิจใหม่โดยการบริษัทนำเข้าสินค้าเวชภัณฑ์ที่เน้นทางด้านนวัตกรรมและนำเข้ามาขายในประเทศไทยตรงนี้นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นการจุดประกายให้กับ ดร.แสงสุข ค้นพบผลิตภัณฑ์วิตามิน E ธรรมชาติที่เป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์นำเข้าซึ่งช่วงนั้นพอนำเข้ามาก็มีกระแสตอบรับดีอย่างรวดเร็วเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทนี้โด่งดังในต่างประเทศอยู่แล้วแต่ด้วยต้องนำเข้าภาษีก็แพงซึ่งตอนนั้นเก็บภาษีถึง 40% ดร.แสงสุข จึงคิดว่าน่าจะเอาเงินที่เสียภาษีตรงนี้มาลงทุนในด้านการตลาดจะดีกว่านั่นจึงทำให้ ดร.แสงสุขตัดสินใจที่จะทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้เองขึ้นมา

จากการศึกษาของธนาคารกรุงศรีอยุธยาพบว่าธุรกิจความงามและเวชสำอางแท้จริงแล้วสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ประกอบการไม่น้อยเลยทีเดียวซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าเงินหมุนเวียนที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาทต่อปีและคาดกันไว้ว่าในปี 2017 จะมีมูลค่าทั่วโลกราว ๆ 2.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐโดยประเทศไทยจะมีมูลค่าของปี 2017 ที่สูงกว่า 2 หมื่นล้านบาทนั่นคือจะมีความต้องการวัตถุดิบเพื่อความงามจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นและมูลค่าค้าปลีกถีบตัวสูงไปถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐได้เลยทีเดียว

ทำตลาดสวนกระแสอีกความแตกต่างที่น่าลอง

ดร.แสงสุข ตัดสินใจผลิตสินค้าเวชสำอางของตัวเองภายใต้แบรนด์ Smooth Eซึ่งตอนที่แจ้งเกิดผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งพอดีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก ๆ คนอื่น ๆ ต่างร่วงกันเป็นแถว ๆ เดินถอยกันทุกกิจการแต่ ดร.แสงสุข กลับเดินหน้าสวนกระแสลงทุนเต็มที่เพราะเขามองแล้วว่าในขณะที่คนอื่นวิกฤตแต่เขากลับมีโอกาสทุกอย่างตอนนั้นราคาถูกหมดทั้งค่าโฆษณาค่าผลิตภาพยนตร์ค่าการทำตลาดทุกอย่างราคาถูกหมด ดร.แสงสุข จึงคว้าเอาช่วงจังหวะนั้นไว้และใส่เกียร์เดินหน้ากับแบรนด์ Smooth E เพราะ ดร.แสงสุข รู้อยู่แล้วว่า “สินค้ามีความแตกต่าง” ดังนั้นจึง “โดนใจกลุ้มเป้าหมาย”

“ถ้าคุณจะทำธุรกิจความคิดที่จะเน้นปริมาณให้ล้มเลิกไปได้เลยคุณต้องกลับมามองตัวเองใช้ชัดเจนก่อนว่าสินค้าคุณมีอะไรดีแตกต่างจากคนอื่นอย่างไรถ้าสินค้าของคุณไม่มีจุดดีที่แตกต่างจากคนอื่นขอให้คุณล้มความคิดที่จะทำธุรกิจลงซะเพราะมันไม่เหมาะกับคุณแต่ถ้าของคุณดีและมีความแตกต่างสิ่งที่คุณต้องมองต่อไปคือสิ่งนั้นจะโดนใจลูกค้าหรือไม่”
ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

เข้าถึงธรรมะก็เข้าใจหลักการตลาด

ใครจะคิดบ้างว่าธรรมะและศาสนามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจซึ่ง 2 สิ่งนี้ดูจะขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงเมื่อสิ่งแรกเน้นให้ตัดกิเลสตัณหา แต่อย่างหลังกับเน้นในการสร้างกิเลสตัณหาแต่ ดร.แสงสุขกับนำ 2 สิ่งนี้มาผสมผสานกันได้จนเกิดหลัก Marketing เฉพาะตัวขึ้นมามีอยู่ช่วงชีวิตหนึ่งที่ ดร.แสงสุข  ได้บวชเป็นพระในร่มบวรพุทธศาสนาการอยู่ในกาสาวพัสตร์ทำให้ ดร.แสงสุขได้มุมมองและความคิดใหม่ ๆ ในการมองโลกและการดำเนินชีวิตและแถมยังทำให้เข้าใจหลักของการทำธุรกิจและการทำ Marketing อีกด้วยเพราะหัวใจของการทำธุรกิจและการทำการตลาดที่แท้จริงก็คือการเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ซึ่งนั่นก็คือการเข้าใจเรื่องของกิเลสตัณหาของมนุษย์นั่นเองซึ่งตรงกับทฤษฎีลำดับความต้องการ (Hierachy of Needs Theory) ของมาสโลว์ไม่มีผิดเพี้ยนอธิบายกันคนละแนวทางแต่ก็ว่าด้วยเรื่องเดียวกันซึ่งการนำหลักธรรมะมาปรับใช้กับหลักการทำตลาดส่งผล ดร.แสงสุข สร้างแบรนด์ยาสีฟัน Dentiste ขึ้นมาได้สำเร็จและเติบโตไปไกลในระดับโลกเลยทีเดียวที่ได้รับความนิยมมากก็คือที่ญี่ปุ่นซึ่งเราทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่า “ถ้าบุกตลาดญี่ปุ่นได้คุณสามารถไปได้ทั่วโลก” วิธีการของ ดร.แสงสุขใช้ก็คือ การเข้าไปนั่งในใจของคนญี่ปุ่นไปค้นหาความต้องการส่วนลึกของคนญี่ปุ่นออกมาซึ่งสิ่งที่คนญี่ปุ่นไม่ชอบเอามาก ๆ เลยก็คือเรื่องของกลิ่นปากซึ่งแบรนด์ยาสีฟันในญี่ปุ่นก็รู้ในข้อนี้ดีทั้งสิ้นแต่สินค้าที่มีอดยู่ในตลาดนั้นยังตอบโจทย์ได้เพียงภายนอกของความต้องการของประชาชนภายในประเทศเท่านั้นแต่ ดร.แสงสุข ใช้ Dentiste เข้าไปแตะที่หัวใจของคนญี่ปุ่นโดยจัดแคมเปญเกี่ยวกับความรักขึ้นภายใต้แนวคิด “บอกรักกันได้โดยไม่ต้องกลัวกลิ่นปาก” ให้หนุ่มสาวได้แสดงความรักต่อกันอย่างลึกซึ้งทั้งการบอกรักกันใกล้การจูบที่นิ่มนวลโดยมั่นใจได้ว่าปราศจากกลิ่นปากและมีความสดชื่นเต็มร้อยนั่นจึงทำให้ยาสีฟัน Dentiste ก้าวไปสู่ระดับโลกแบบสวย ๆ เลยทีเดียว

จาก Smooth E มาถึง Dentiste คุณจะเห็นว่า ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ใช้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เข้าใจสินค้าเข้าใจสถานการณ์เข้าใจตลาดไปจนถึงการเข้าใจความต้องการของมนุษย์ในวันนี้นอกจาก 2 แบรนด์นี้แล้ว ดร.แสงสุข ยังได้เปิดโรงเรียนสอนทำธุรกิจเพื่อเป็นการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ของไทยให้เติบโตต่อไปอีกด้วย

อุปสรรคและความท้าทาย

หลายคนเมื่อเริ่มลงมือทำธุรกิจก็อาจจะเจอกับปัญหาหนัก ๆ หลายด้านรวมถึงพิษจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ จนทำให้เกิดความท้อแท้สิ้นหวังหาทางออกไม่ได้ในที่สุดก็ต้องล้มเลิกธุรกิจไปแม้ดจะไม่อยากเลิกก็ตามตรงนี้จึงเป็นอุปสรรคที่ท้าทายคนทำธุรกิจทุกคนว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้ธุรกิจราบรื่นเมื่อเจอวิกฤตก็เดินต่อไปได้และสามารถที่จะเติบโตต่อไปยังระดับภูมิภาคหรือระดับโลกได้

แนวทางการแก้ไข

  • สร้างกำลังใจให้เข้มแข็งเมื่อเจอวิกฤตและคิดว่านั่นคือโอกาสที่จะได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ปัญหาที่เข้ามาอาจไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไปแต่นั่นอาจเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณได้พบอะไรใหม่ ๆ ที่ใช่มากขึ้นก็ได้
  • สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณปัจจุบันมีการแข่งขันสูงธุรกิจจึงต้องพบปัญหาอุปสรรคจากคู่แข่งอยู่ตลอดแต่ถ้าคุณค้นพบความแตกต่างของสินค้าและบริการคุณได้นั่นเท่ากับว่าคุณค้นพบจุดแข็งที่จะเอาชนะคู่แข็งได้แล้ว
  • ค้นหาความต้องการของผู้คนการทำธุรกิจยุคใหม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเพียงภายนอกอย่างเดียวไม่ได้แล้วคุณจะต้องผลิตสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการภายในจิตใจให้กับผู้คนด้วยอาจจะใช้วิธีการไปพูดคุยคลุคลีอยู่กับชุมชนและผู้คนหรือถ้ามีเวลาเงินทุนและความพร้อมอาจใช้วิธีการทำวิจัยเพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้คนอย่างแท้จริงก็ได้

Passion in this story