เชื่อว่าหลายต่อหลายคนเลือกที่จะใช้เวลาในวันหยุดเพลิดเพลินไปกับการรับชมภาพยนตร์และซีรีส์สุดโปรดที่บ้าน โดยไม่ต้องฝ่ารถติดและฝูงชนเพื่อไปที่โรงภาพยนตร์เหมือนในอดีต ด้วยในปัจจุบันมีบริการสตรีมมิ่งทีวี (Streaming TV) หรือรายการโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดผ่านระบบอินเตอร์เน็ตให้รับชมกันแบบสบาย ๆ ได้ที่บ้าน
ในขณะเดียวกันสมรภูมิสตรีมมิ่งทีวีก็กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด มีหลายช่องหลายเจ้าเยอะแยะจนเลือกไม่ถูกว่าจะดูช่องไหนดี วันนี้ passiongen จะพาไปดูกันว่าแต่ละช่องสตรีมมิ่งทีวี มีอะไรเด่น มีอะไรดัง เพื่อเป็นอีกหนึ่งข้อมูลให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการได้อย่างถูกใจ
Netflix
ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งทีวียักษ์ใหญ่ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยแรกเริ่ม Netflix เป็นเพียงแค่ร้านเช่า DVD ภาพยนตร์ออนไลน์เท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนมาให้บริการสตรีมมิ่งทีวีใน
ปี 2007 ด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 158 ล้านบัญชี ใน 190 ประเทศ ทำให้ Netflix กลายเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สำคัญในสมรภูมิสตรีมมิ่งทีวี Netflix เข้ามาให้บริการในเมืองไทยเมื่อต้นปี 2017 พร้อมกับเปิดตลาดเชิงรุกด้วยบริการเมนูภาษาไทย ซับไตเติลไทย และพากย์ไทย
ก่อนหน้านี้ Netflix ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของรายการและภาพยนตร์ต่าง ๆ มากมาย เพื่อมาให้บริการแก่ลูกค้า กระทั่งปี 2013 พวกเขาเริ่มหันมาทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อพัฒนาเนื้อหาของตัวเองโดยตรงแทนที่จะใช้วิธีเช่ารายการของเจ้าอื่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้มีเนื้อหาของรายการที่สดใหม่และหลากหลายให้เลือกรับชมมากขึ้น
สำหรับอัตราค่าบริการของ Netflix ในเมืองไทย ณ เดือนธันวาคม ปี 2019 มีให้แพคเกจให้สมัคร 3 แบบด้วยกัน คือ
1. แบบ Basic ราคา 279 บาทต่อเดือน รับชมได้ 1 จอ ที่ความชัดระดับ SD
2. แบบ Standard ราคา 349 บาทต่อเดือน รับชมได้ 2 จอพร้อมกัน ที่ความชัดระดับ HD
3. แบบ Premium ราคา 419 บาทต่อเดือน สามารถรับชมได้ 4 จอพร้อมกันไปเลย ที่ความชัดระดับ HD ไปจนถึง 4K ทั้งนี้ Netflix เปิดให้ทดลองชมฟรี 30 วัน และสามารถยกเลิกสมาชิกได้ตลอดเวลา
จุดเด่นของ Netflix ที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง คือ การผลิตออริจินัลคอนเทนต์คุณภาพสูงของตัวเอง โดยการออกทุนสร้างมหาศาลให้ผู้กำกับชื่อดังหลายคนผลิตหนังหรือซีรีส์ตามแนวทางที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออริจินัลคอนเทนต์ท้องถิ่น ที่ Netflix จับมือกับคนทำหนังในประเทศต่าง ๆ เพื่อผลิตเนื้อหาในประเทศตนเองขึ้น เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Netflix ที่เจาะกลุ่มคนดูเฉพาะถิ่นเฉพาะทาง ทำให้มีเนื้อหาที่หลากหลายเจาะตลาดกลุ่มคนดูที่แตกต่างกันได้ทุกกลุ่ม
จุดอ่อนของ Netflix ก็คงจะหนีไม่พ้นราคาที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีมมิ่งทีวีเจ้าอื่น ๆ ในตลาด อย่าง Iflix ที่ตกอยู่ราว 100 บาทต่อเดือน หรือ Amazon Prime Video คิดค่าบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 181 บาทต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ แม้ Netflix จะมีออริจินัลคอนเทนต์จำนวนมาก แต่ก็ยังมีภาพยนตร์ระดับ blockbuster อยู่น้อย ยิ่งผู้ผลิตเริ่มหันมาจับตลาดสตรีมมิ่งทีวีเองมากขึ้น ยิ่งทำให้หนังดี ๆ จำนวนมากถูกถอดออกจาก Netflix เช่น ดิสนีย์ที่หันมาทำช่องสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Disney+ และได้ถอนคลังภาพยนตร์ของตัวเองออกจาก Netflix ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Marvel หรือ Star wars ซึ่งก็น่าสนใจว่า Netflix จะทำอย่างไรต่อไปเพื่อแก้เกมนี้
รายการเด่น
Stranger Things ซีรีส์ที่โด่งดังและเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยของเด็กกลุ่มหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด โลกต่างมิติ พลังจิต และองค์กรลึกลับ คละคลุ้งไปกับบรรยากาศของยุค 80s ปัจจุบันออกฉายมาแล้ว 3 ซีซั่น คาดกันว่าซีซั่นที่ 4 น่าจะออกอากาศให้รับชมกันในราวปลายปี 2020 หรือช้าสุดต้นปี 2021
The Crown ซีรีส์ดราม่าสุดเข้มข้นที่ถ่ายทอดชีวิตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1947 และเล่าชีวประวัติของพระองค์ท่านเรื่องมา ในเรื่องนอกจากที่เราจะได้เห็นชีวิตส่วนพระองค์ในรั้วพระราชวังบัคกิงแฮมและราชวงศ์วินเซอร์ เรายังได้เห็นภาพของการเมืองในประเทศอังกฤษ และบริบทการเมืองในระดับโลก
Narcos ซีรีส์ที่นำเสนอเรื่องราวของปาโบล เอสโคบาร์ ราชายาเสพติดชาวโคลอมเบีย ในเรื่องจะเสนอจากมุมมองจากฝั่งพ่อค้ายาเสพติด ซึ่งจะทำให้เห็นเบื้องลึกของกระบวนการค้ายาเสพติด และการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ใครที่ชอบซีรีส์ยาเสพติด กดดัน และลุ้นระทึก ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
Iflix
Iflix ถือเป็นคู่แข่งในสมรภูมิสตรีมมิ่งทีวีคนสำคัญของ Netflix โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอาเซียน ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 จากความร่วมมือระหว่างนายแพทริก โกรฟ และมาร์ค บริตต์ กับบริษัท Evolution Media Capital (EMC) มุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบันได้ให้บริการใน 22 ประเทศ ทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 22 ล้านคน
พวกเขาเล็งเห็นถึงศักยภาพในการบริโภคและแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงออนไลน์ในภูมิภาคดังกล่าว ที่ถึงแม้จะมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์อยู่มาก แต่พวกเขาเชื่อว่าผู้บริโภคต้องการใช้ของถูกลิขสิทธิ์ หากมีราคาที่ไม่แพงมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเหล่านี้กำลังเติบโต ขนาดตลาดที่ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านคน และอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน สื่อออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับอัตราค่าบริการของ Iflix สนนราคารายเดือนอยู่ที่ 100 บาท หรือแบบรายปีที่ 1,000 บาทนอกจากนี้ Iflix ยังมีบริการแบบ Freemium ซึ่งจะเปิดให้รับชมเนื้อหาฟรีในบางส่วน แต่หากต้องการจะรับชมทั้งหมดต้องสมัครสมาชิกเท่านั้น
จุดเด่นสตรีมมิ่งทีวีช่องนี้ อยู่ที่คอนเทนต์ที่มีหลากหลายและมากกว่าเจ้าอื่น โดยเฉพาะภาพยนตร์หรือซีรีส์จากฟากเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย และหนังฮอลลีวูดเก่า ๆ เช่นเดียวกับ Netflix ที่ Iflix เริ่มผลิตออริจินัลคอนเทนต์เป็นของตัวเอง และร่วมมือกับผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างเนื้อหาที่ถูกจริตกับผู้บริโภคในท้องถิ่น รวมไปถึงราคาค่าบริการที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบผู้บริการสตรีมมิ่งทีวีเจ้าอื่น แถมยังมีบริการรับชมฟรีเป็นตัวเลือก ทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคให้ติดตามได้ไม่ยาก
จุดอ่อนของ Iflix คือ หนังใหม่ที่อัพเดตค่อนข้างช้า และความคมชัดของวิดีโอที่สูงสุดแค่ระดับ HD เท่านั้น แถมยังไม่สามารถปรับความละเอียดได้และความละเอียดยังขึ้นอยู่กับความเสถียรของอินเตอร์เน็ต ออริจินัลคอนเทนต์ยังมีน้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นในตลาด
รายการเด่น
Mr. Robot ว่าด้วยเรื่องของโปรแกรมเมอร์หนุ่มผู้เกลียดการเข้าสังคม โดยกลางวันทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ปกติ แต่ตอนกลางคืนเขาจะกลายเป็นแฮกเกอร์ที่คอยจัดการกับคนชั่วในโลกใต้ดิน เป้าหมายหลักคือการโค่นล้มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมประเทศเอาไว้ ซึ่งบริษัทที่เขาทำงานอยู่คือหนึ่งในนั้น การันตีคุณภาพด้วยรางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยมจาก Golden Globe ปี 2016
And Then There Were None มินิซีรีส์อิงจากนิยายของอกาธา คริสตี้ นักเขียนหญิงที่ถูกยกย่องว่าเป็นราชินีแห่งนวนิยายอาชญากรรม ว่าด้วยเรื่องราวของฆาตกร 10 คนที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ที่ถูกชักชวนให้มาอยู่บนเกาะเดียวกัน และเกิดการฆาตกรรมขึ้น ทุกคนต่างสงสัยกันและกัน
The Magician เรื่องราวของเควนติน โคลด์วอเตอร์ นักเรียนหนุ่มไฮสคูลที่ปักใจเชื่อว่าศาตร์แห่งเวทมนตร์เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง จนกระทั่งพลัดหลงเข้าไปพบวิทยาลัยเวทมนตร์ลึกลับที่แฝงเร้นกายอยู่ในนิวยอร์ก เขาพบว่าเวทมนตร์ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด และกำลังถลำลึกลงสู่ความมืดมิดที่อันตรายเกินคาดคิด
Amazon Prime Video
บริการสตรีมมิ่งทีวีจากบริษัทยักษใหญ่อย่าง Amazon เปิดให้บริการครั้งแรกเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2006 และขยายการให้บริการไปทั่วโลกรวมถึงไทยในปี 2016 เฉพาะแค่ในสหรัฐอเมริกา จำนวนสมาชิกก็มีมากกว่า 105 ล้านคน ทำให้หลายคนมองว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญกับ Netflix ซึ่งถูกนำมาเปรียบกันในหลาย ๆ ด้าน
สนนราคาค่าบริการอยู่ที่ 2.99 เหรียญต่อเดือน หรือประมาณ 91 บาท ใน 6 เดือนแรก และหลังจากนั้นจะเสียค่าบริการที่ 5.99 เหรียญต่อเดือน หรือประมาณ 181 บาท และสมาชิกใหม่สามารถรับชมฟรี 7 วัน หากไม่พอใจสามารถยกเลิกบริการได้
จุดเด่นอย่างแรกที่เห็นได้ชัด คือ ค่าบริการที่ถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Netflix มาก และในช่วง 6 เดือนแรกยังคิดว่าบริการเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ระบบ Player ของ Amazon Prime Video ยังสามารถควบคุมการใช้ข้อมูลได้ในระหว่างการสตรีมว่าใช้ข้อมูลไปเท่าไหร่ ทั้งยังเลือกคุณภาพของวิดีโอให้เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้ได้อัตโนมัติ Amazon Prime Video ยังสามารถย่อขนาดของวิดีโอให้เล็กลง แต่คุณภาพของวิดีโอจะไม่ลดลงไปมากอีกด้วย
จุดอ่อน คือ แม้จะลงทุนทำออริจินัลคอนเทนต์เป็นของตัวเอง แต่จำนวนของซีรีส์และภาพยนตร์ก็ยังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ Iflix และดูเหมือนว่าทาง Amazon Prime Video ยังไม่ทำตลาดในไทยอย่างเต็มตัว ทำให้มีซับไตเติลไทยไม่ครบทุกเรื่อง เมื่อเทียบกับ Netflix มีสามารถดูหนังแบบมีซับไตเติลไทยได้ทุกเรื่อง
รายการเด่น
The Boys ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ซึ่งรวมตัวกันเพื่อแก้แค้นเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่เบื้องหลังได้ใช้พลังอำนาจไปในทางที่ผิด โดยพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เคยมีอดีตที่แสนเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับเหล่ากลุ่มซูเปอร์ฮีโร่อันดับ 1 ของโลกที่เรียกตัวเองว่า The Seven
The Man in the High Castle นำเสนอเรื่องราวของประวัติศาสตร์คู่ขนาน ในโลกที่นาซีเยอรมันคือผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ซีรีส์จะฉายภาพของสหรัฐอเมริกาในปกครองของนาซีเยอรมันและจักรวรรดิญี่ปุ่น และเรื่องราวของฝ่ายต่อต้านที่เก็บงำความลับบางอย่างที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของจักรวรรดิไรซ์ที่ 3
The Lord of the Rings เรื่องราวของมหากาพย์อันโด่งดังจากหนังสือนวนิยายของ J.R.R. Tolkien ซึ่งอะเมซอนคว้าลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์มาสร้างใหม่ในฉบับซีรีส์ โดยจะดำเนินเรื่องราวในยุค 3,441 ปีก่อนช่วงเวลาในภาพยนตร์ The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring ออกฉายในราว ๆ ปี 2020 หรือ 2021
Apple TV+
เแอปเปิลหันมาจับตลาดลงแข่งขันในสมรภูมิสตรีมมิ่งทีวีกับเขาบ้าง โดยร่วมมือกับผู้กำกับระดับโลกและพิธีกรชื่อดังอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก และโอปราห์ วินฟรีย์ มาช่วยผลิตคอนเทนต์สำหรับ Apple TV+ โดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีสมาชิกกว่า 9 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2019 และเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านคน ภายในปี 2020
Apple TV+ ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก ๆ สำหรับ Netflix และ Amazon Prime Video ด้วยเครือข่ายของอุปกรณ์แอปเปิลที่ใช้กันทั่วโลก ทำให้แอปเปิลสามารถขยายการให้บริการสตรีมมิ่งทีวีในระดับโลกได้ไม่ยากนัก ในช่วงแรกแอปเปิลจะปล่อยภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการ ไม่กี่ตัวเป็นพรีเมียร์ก่อน จากนั้นเนื้อหาใหม่ ๆ จะตามมาทุกเดือน ซึ่งสามารถรับชมได้ผ่านแอพ Apple TV และเว็บไซต์ tv.apple.com
ค่าบริการของ Apple TV+ ตกอยู่ที่ 99 บาทต่อเดือน และสามารถรับชมฟรีได้ 7 วัน หรือในกรณีที่ซื้อ Mac, iPhone หรือ iPad ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน จะสามารถรับชมได้ฟรี 1 ปี นับจากวันที่สมัคร นอกจากนี้หากเป็นสมาชิกของ Apple Music แบบราคานักเรียนนักศึกษา 69 บาทต่อเดือน ก็สามารถรับชม Apple TV+ ได้โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม
จุดเด่นของ Apple TV+ อยู่ที่คอนเทนต์ในช่องสตรีมมิ่งนี้ เป็นออริจินัลคอนเทนต์ของแอปเปิลทั้งหมด โดยไปดึงเอาผู้กำกับ นักสร้างหนัง มาผลิตคอนเทนต์ที่พิเศษบน Apple TV+ โดยเฉพาะ ซึ่งก็ทำให้มีเนื้อหาที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร ตอบโจทย์คนที่ต้องการความสดใหม่ของเนื้อหา อีกทั้งค่าบริการที่ไม่แพง เรียกได้ว่าถูกที่สุดในบรรดาสตรีมมิ่งทีวีที่เรานำเสนอมา แถมยังมีโปรโมชั่นให้ดูฟรีถึง 1 ปีอีกด้วย
และด้วยเนื้อหาที่เป็นออริจินัลคอนเทนต์ทั้งหมด ทำให้ไม่มีภาพยนตร์หรือซีรีส์ดัง ๆ มาดึงความสนใจให้คนติดตามเท่าไหร่ ถือเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของ Apple TV+ และด้วยความที่เปิดตัวใหม่ทำให้ยังมีรายการให้ติดตามน้อยมาก นอกจากนี้สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ของแอปเปิลอย่างโทรศัพท์มือถือ อาจจะยุ่งยากนิดหน่อย เนื่องจากต้องรับชมผ่านเว็บบราวเซอร์เท่านั้น ไม่มีแอพ Apple TV ให้โหลดในระบบแอนดรอยด์
รายการเด่น
See ซีรีส์ดราม่าที่มีฉากหลังเป็นโลกในอีก 600 ข้างหน้า หลังจากที่ไวรัสได้ทำให้อารยธรรมของมนุษยชาติล่มสลาย และทำให้ประชากรที่เหลือรอดต้องตาบอด มนุษย์จึงต้องปรับตัวเพื่อค้นหาหนทางในการเอาชีวิตรอดต่อไป นำแสดงโดย Jason Mamoa จาก Aquaman และ Alfre Woodard
For All Mankind นำเสนอเรื่องราวกลับด้านของประวัติศาสตร์การสำรวจอวกาศที่สหภาพโซเวียตไปถึงดวงจันทร์ได้ก่อนสหรัฐอเมริกา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากการแข่งขันพัฒนาทางอวกาศทั่วโลกไม่เคยสิ้นสุดลง
The Morning Show ทีวีซีรีส์ดราม่าที่แสดงและอำนวยการสร้างโดย Reese Witherspoon และ Jennifer Aniston แสดงนำโดย Steve Carell ว่าด้วยเรื่องราวของการสำรวจโลกแห่งข่าวภาคเช้าและอีโก้ ความทะเยอทะยาน และการแสวงหาอำนาจในทางมิชอบ เบื้องหลังกลุ่มคนที่ปลุกอเมริกาให้ตื่นขึ้นในทุกเช้า
Category: